นายมานพ หนึ่งในมือปืนเผยความเหี้ยมของ ด.ต.อรรถพร ที่ยกพวกบุกยิงถล่มบ้านผู้ใหญ่รงค์ จ.สุราษฎร์ธานี ว่าเป็นคนสังหารลูกและเมียของตัวเอง ขณะที่ตำรวจรวบรวมหลักฐานและได้ภาพจากวงจรปิดที่สอดคล้องกัน
วันที่ 11 เมษายน 2566 จากกรณีที่ ด.ต. อรรถพร วิเชียร พร้อมนายวัฒน์ พี่ชาย และนายมานพ ใช้ปืนเอ็ม 16 และปืนลูกซอง ยิงถล่มบ้านผู้ใหญ่รงค์ อดีตผู้ใหญ่บ้านคนดังของ จ.สุราษฎร์ธานี โดยดวลปืนกันสนั่นนานนับ 10 นาที ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจากเหตุยิงปะทะกัน 4 ศพ เหตุเกิดช่วง 13.20 น. ของวันที่ 8 เมษายนที่ผ่านมา
และคืนวันที่ 9 เมษายน พบรถเก๋งของกลุ่มคนร้ายที่ขับหลบหนีมาจอดทิ้งอยู่ในลานวัดไกรสรเขตราราม อ.บ้านตาขุน จ.สุราษฎร์ธานี ภายในรถมีศพของนายอรรถพล หรือบาส ลูกชายของ ด.ต.อรรถพร พบว่าถูกยิงที่ขมัดขวา อยู่ที่เบาะหน้าข้างคนขับ มีการมัดตราสัง ใช้ผ้าขาวม้าคลุมศพเอาไว้ ซึ่งมีคำให้การของชาวบ้าน อ้างว่า ด.ต.อรรถพร เป็นคนขับรถมาจอด และเดินเข้ามาในงานศพพี่ชาย บอกกับญาติว่า ให้ช่วยจัดงานศพให้หลานด้วย หลานตายอยู่ในรถ ก่อนอาศัยจังหวะชุลมุนเดินหนีหายไป
ต่อมาช่วงเช้าวันที่ 10 เมษายน ก็มีคนไปพบศพของนางสาวพนิดา ภรรยาของ ด.ต.อรรถพร ซึ่งก็คือลูกสาวของผู้ใหญ่รงค์ ถูกยิงกรอกปากเสียชีวิต ในห้องพักของรีสอร์ตแห่งหนึ่งใน อ.คีรีรัฐนิคม จ.สุราษฎร์ธานี จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ คาดว่า ขณะเกิดเหตุ นางสาวพนิดาถูกใช้หมอนอุดปาก แล้วคนร้ายใช้ปืนยิงผ่านหมอนเพื่อไม่ให้เกิดเสียงดัง โดยพบกระสุนทะลุติดที่คาง 1 นัด ยังพบปลอกกระสุน ตกข้างกราม 1 ปลอก คาดเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 3 วัน
รวมมีผู้เสียชีวิตจากเหตุสลดทั้งสิ้น 6 ศพ
จากการสอบสวน เชื่อว่า ผู้ที่ก่อเหตุยิงนายบาส และนางสาวพนิดา ก็คือ ด.ต.อรรถพร
ทีมข่าวช่อง 8 ได้ภาพวงจรปิดแถวหน้าวัด พบว่า ช่วง 2 ทุ่มกว่าๆ มีกระบะสีบรอนซ์ขับมาจอด คาดว่า กระบะคันนี้มาจอดรอรับดาบตำรวจแล้วพาหลบหนีไป ขณะที่กรณีพบนางสาวพนิดาถูกยิงเสียชีวิต ทีมข่าวช่อง 8 ได้ภาพวงจรปิดจับภาพ ด.ต. อรรถพร ขับรถเข้ามาเปิดห้องกับนางสาวพนิดา เมื่อวันที่ 7 เมษายน
จากนั้นพบว่า เช้าวันที่ 8 เมษายน ด.ต.อรรถพร ได้ขับรถออกไปรับนายวัฒน์ (พี่ชาย) และเปิดห้องพักอีกห้องหนึ่ง ก่อนที่ ด.ต.อรรถพร จะออกมาจากห้องขับรถมาจอดรับพี่ชายไปที่บ้านของผู้ใหญ่รงค์ แล้วไม่ได้กลับมาอีกเลย กระทั่งพนักงานของรีสอร์ตมาพบว่า นางสาวพนิดา ถูกยิงตายอยู่ในห้องพัก
ซึ่งเจ้าของรีสอร์ต เล่าว่า ไม่ได้ยินเสียงปืนแม้แต่นัดเดียว กระทั่งตอนเช้า มีตำรวจขับเข้ามา ขอให้ตนนำกุญเจไปเปิดห้องพักหมายเลข 1 ที่ดาบตำรวจเช่าไว้ พอมาถึง ได้กลิ่นโชย เมื่อเปิดห้องเข้าไปจึงพบว่ามีผู้เสียชีวิต
ที่ผ่านมา ดาบตำรวจมักจะพานางสาวพนิดา เข้าพักที่นี่ประจำ ตั้งแต่ช่วงปีใหม่แล้ว แต่รอบนี้ตั้งแต่มาเปิดห้องก็ไม่เห็นฝ่ายหญิงเลย เห็นแต่ดาบตำรวจกับพี่ชาย โดยช่วงบ่ายญาติของนางสาวพนิดาได้นิมนต์พระมาทำพิธีเชิญวิญญาณ และตะโกนเรียกวิญญาณออกจากห้อง ญาติเปิดเผยว่า ตั้งแต่พี่สาวหายออกจากบ้าน ทุกคนพยายามติดต่อแต่ติดต่อไม่ได้ ได้แต่ภาวนาขอให้ยังมีชีวิตอยู่ พอมาเจอศพก็เสียใจมาก เพราะถูกฆ่าด้วยน้ำมือของดาบตำรวจซึ่งเป็นสามี
กระทั่งวานนี้ (10 เม.ย.) ตำรวจตามรวบตัวนายมานพ หนึ่งในผู้ก่อเหตุได้ขณะหลบหนีอยู่ในพื้นที่จังหวัดพังงา โดยช่วงเย็น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ลงพื้นที่ติดตามคดี และได้ร่วมสอบสวนนายมานพ หนึ่งในผู้ก่อเหตุ เบื้องต้นนายมานพอ้างว่า ไม่รู้ว่า ด.ต.อรรถพร ชวนไปก่อเหตุยิงถล่มผู้ใหญ่รงค์ ที่ไปด้วยคิดว่าจะพาไปเป็นสายยาเสพติด และยังให้การอีกว่า เมื่อ ด.ต.อรรถพร ไปถึงบ้านที่เกิดเหตุ ได้เกิดมีปากเสียงกับผู้ใหญ่รงค์ ก่อนเดินไปหยิบปืนในรถ ยิงใส่นางนิลทิพย์ เมียของผู้ใหญ่รงค์ที่นั่งอยู่หน้าบ้าน
ก่อนที่นายวัฒน์ พี่ชาย ด.ต. จะใช้ปืนบุกเข้าไปในบ้าน จนถูกผู้ใหญ่รงค์ยิงสวนเสียชีวิต หลังจากนั้นตัวนายมานพ และ ด.ต.อรรถพร จึงได้บุกไปยิงผู้ใหญ่รงค์ และผู้ใหญ่พรศักดิ์ (ญาตินางนิลทิพย์) เสียชีวิต และได้พากันขึ้นรถหลบหนี โดยมีนายอรรถพล วิเชียร (บาส) ลูกชาย ด.ต.อรรถพร เป็นคนขับรถ (ไม่ได้ตายขณะมีการดวลปืน)
นอกจากนี้ ยังบอกอีกว่า หลังก่อเหตุ ดาบตำรวจมีอาการคลุ้มคลั่งอย่างหนัก จึงได้ขอให้ไปส่งบ้าน เพราะหวั่นว่าจะถูกดาบตำรวจยิงตายไปอีกคน และเชื่อว่า ด.ต. อรรถพร เป็นคนยิงลูกชายของตัวเองตาย ซึ่งนายมานพยังอ้างอีกว่า ไม่รู้มาก่อนว่า ด.ต. อรรถพร ยิงเมียตัวเองตายก่อนมาชวนไปก่อเหตุ
ซึ่งจากการตรวจสอบประวัติ พบว่า นายมานพ ว่างงาน มีประวัติเป็นมือปืนในพื้นที่ และเคยถูกจับกุมในข้อหาเกี่ยวกับคดีฆ่าและเพิ่งพ้นโทษออกมาก่อเหตุในลักษณะเดิมอีก
ขณะที่ พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ หักพาล เชื่อว่า ด.ต. อรรถพร เป็นคนก่อเหตุยิงลูกชาย (นายบาส) รวมทั้งลงมือยิงนางสาว พนิดา (เมียตัวเอง) เพราะมีหลักฐานว่า ด.ต.อรรถพร ได้โทรศัพท์ไปหาพี่ชายที่บวชเป็นพระให้ช่วยมาทำศพหลาน และวงจรปิดของรีสอร์ต ซึ่งปมเหตุเชื่อว่าเกิดจากที่ ด.ต. อรรถพร ไม่พอใจที่ถูกผู้ใหญ่รงค์ (พ่อตา) กีดกันความรักหลายครั้ง ทั้งที่อยู่กิน จดทะเบียนกับนางสาวพนิดาแล้ว จึงพาพวกมาก่อเหตุ
ส่วนปืนสงครามที่ใช้ก่อเหตุ ต้องรอให้จับกุมตัว ด.ต.อรรพร ให้ได้ก่อน ว่าเป็นปืนที่ได้มาจากไหน ถ้าหากเป็นของทางราชการ ก็จะต้องตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงว่าใครเป็นคนเบิกมาใช้
และที่ ด.ต.อรรถพร ส่งข้อความไลน์ไปหาคนใกล้ชิด ประกาศจะยอมตายนั้น เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมยืนยันว่า ต้องปฏิบัติตามขั้นตอน ถ้าหากเกิดการปะทะ เนื่องจากคนร้ายมีทั้งอาวุธสงครามและปืนสั้น มีความจำเป็นที่จะต้องปฏิบัติตามขั้นตอน เพราะคนร้ายเป็นตำรวจ และก่อเหตุสะเทือนขวัญกับชาวบ้าน