จากกรณีพบ น.ส.บุญเรือน โค้วปรีชา อายุ 49 ปี ถูกฆ่าหมกศพในช่องเก็บของใต้ถุนบ้าน ที่บ้านหนองหอย ต.อ่างทอง อ.ทับสะแก จ.ประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา สภาพศพถูกทำร้ายกกหูซ้ายถูกของแข็งฟาดจนกะโหลกแตก นอนคว่ำหน้า และพบจอบที่คาดว่าน่าจะเป็นอาวุธที่คนร้ายใช้ก่อเหตุ ส่งตรวจสอบลายนิ้วมือแฝง และดีเอ็นเอเชื่อมโยงหาตัวคนร้าย
เบื้องต้น ตำรวจตั้งประเด็นการถูกฆ่าไว้มีชายมาติดพัน , ความขัดแย้งแย่งชิงทรัพย์สินระหว่างเครือญาติ และ ฆ่าชิงทรัพย์
กระทั่งล่าสุด ตำรวจสภ.ทับสะแก นำหมายจับเข้าควบคุมตัวนายขวัญชัย โค้วปรีชา พี่ชายของผู้เสียชีวิต ข้อหาฆ่าผู้อื่นตายโดยเจตนาและลอบฝังซ่อนเร้น ย้ายหรือทำลายศพ เพื่อปิดบังการตาย โดยอ้างมีหลักฐานเชื่อมโยงถึง
ส่วนศพญาติยังไม่ทำการฌาปนกิจ โดยทางญาตินำร่างส่งตรวจพิสูจน์อีกครั้งที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ฯ และยืนยันจะไม่มีการฌาปนกิจ น.ส.บุญเรือน จนกว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะจับกุมคนร้ายในคดีนี้
วันนี้ ทีมข่าวช่อง8 เดินทางไปยังจุดเกิดเหตุ ก็คือบ้านของ น.ส.บุญเรือน ผู้ตาย โดยเมื่อไปถึง นายขวัญชัย พี่ชายของ น.ส.บุญเรือน ที่ตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับ ได้พาทีมข่าวเดินไปดู รถกระบะที่ติดป้ายรับแจ้งเบาะแส จ่ายเงิน 300,000 บาท ไม่เอาแพะ
นายขวัญชัย และนางจินดาพร พี่ชายและพี่สะใภ้ของ น.ส.บุญเรือน ที่อาศัยอยู่ติดกับที่เกิดเหตุมากที่สุด ยืนยันตรงกันว่า ไม่มีทางที่พี่น้องจะฆ่ากันเรื่องแย่งมรดก และยอมรับว่าติดใจการทำงานของตำรวจ ทำไมถึงไปนัดตนเองกลางทางแล้วก็แสดงบันทึกจับกุม ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ ตั้งแต่เกิดเหตุยันมีการออกหมายจับ ตนเองเดินทางไปให้ปากคำตำรวจตามนัดทุกครั้ง อีกอย่างในบันทึกจับกุม ก็ไม่ได้ระบุว่ามีหลักฐานอะไร
ส่วนนางจินดาพร พี่สะใภ้ ที่เป็นคนเจอศพคนแรก ก็ยืนยันว่า ไม่ได้กังวลใจหรือเครียดที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัย วันที่เจอศพ ยืนยันว่า ได้เดินหา น.ส.บุญเรือน รอบบ้านแล้ว กระทั่งมาเจอศพ ซึ่งก่อนระหว่างตามหาจนไปเจอศพ ตนเองได้บันทึกเสียงสามีเอาไว้ตลอด และเป็นไปไม่ได้ที่คนฆ่าจะโทรไปบอกคนนั้นคนนี้ว่าหา น.ส.บุญเรือน ไม่เจอและไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องโทรไปร้องไห้กับทางครอบครัวเพื่อสร้างภาพ หรือพยายามสร้างหลักฐานขึ้นมา (มีคลิปเสียง) ยืนยันไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องฆ่าน้องตัวเอง
โดยเสียงดังกล่าว เป็นเสียงที่บันทึกไว้ในวันที่เจอศพ น.ส.บุญเรือน ในเวลาประมาณ 14.00 น. เป็นการโทรศัพท์ของนายขวัญชัย(พี่ชาย) คุยกับนางสุธาสินี(พี่สาวผู้ตาย) แจ้งข่าว ขณะที่ตามหา นายขวัญชัยได้โทรศัพท์ไปคุยกับ นางสุธาสินี พี่สาว ว่าหา น.ส.บุญเรือน ไม่เจอ กระทั่งเวลาประมาณ 15.30 น.หลังเจอศพ นายขวัญชัย ยังโทรศัพท์ไปร้องไห้กับพี่สาว ทั้งยังบอกให้แจ้งตำรวจ
นอกจากนี้ ทางนายขวัญชัย ยังส่งคลิปที่ถ่ายไว้ในครอบครัว โดยมี น.ส.บุญเรือน ผู้ตาย อยู่ในคลิปที่มีการไปเที่ยวชมสวนทุเรียน เป็นการยืนยันว่า ก่อนที่น้องสาวถูกฆ่า ครอบครัวรักกันดี ไม่มีปมเหตุที่จะต้องฆ่าน้องตัวเอง
ทีมข่าวมา ยังมีวงจรปิดในบ้านที่เกิดเหตุ ที่บันทึกภาพเหตุการณ์เอาไว้ ซึ่งในภาพจะเห็นว่า ขณะที่เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน รวมถึงตำรวจชุดสืบสวนเข้ามาเก็บหลักฐานภายในบ้าน นายขวัญชัย จะอยู่ในเหตุการณ์ตลอดเวลา ทำให้เจ้าตัวยืนยันความบริสุทธิ์ใจ ไม่ได้ฆ่าน้องตามที่ถูกตำรวจออกหมายจับ
นอกจากนี้ ทีมข่าวได้สอบถาม ชาวบ้าน ซึ่งเป็นคนที่ไปพบศพนางสาวบุญเรือนพร้อมกับนายขวัญชัย บอกว่า วันเกิดเหตุตนเองได้เข้าไปยังบ้านของ น.ส.บุญเรือน เพื่อจะไปเก็บค่าน้ำ แต่ไม่เจอตัวโทรศัพท์ไปก็ไม่มีใครรับสาย จึงตัดสินใจ เดินไปตาม นายขวัญชัยกับภรรยาของเขา ให้ช่วยกันออกตามหา เนื่องจากเอะใจว่า น.ส.บุญเรือน ไม่เคยหายตัวไปแบบนี้ ส่วนเหตุการณ์ในคลิปเสียง ที่มีการร้องไห้กันในครอบครัว ตนเองขอยืนยันว่า นายขวัญ พี่ชายของ น.ส.บุญเรือน ไม่ได้จัดฉากหรือสร้างหลักฐานเพื่อเบี่ยงประเด็นใส่ร้ายคนอื่น ส่วนตัวในฐานะที่เป็นชาวบ้าน ที่มีความสนิทสนมกับตัว น.ส.บุญเรือนและครอบครัวที่อยู่ใกล้ชิด เชื่อว่าครอบครัวนี้ไม่มีปมเหตุที่จะต้องมาฆ่ากันเอง เนื่องจากก่อนเกิดเหตุ ครอบครัวนี้ไม่เคยทะเลาะกันให้เห็นและครอบครัวนี้ มีฐานะทางการเงินกันทุกคน
ด้านนางสุธาสินี พี่สาวที่ใกล้ชิดกับผู้ตาย และนายจักรธร โค้วปรีชา ยืนยันว่า ที่ผ่านมา พี่น้องทั้ง 9 คน ไม่เคยทะเลาะกัน แล้วก็ไม่เคยมีปัญหากันเรื่องมรดก จึงเป็นไปไม่ได้ที่พี่น้องจะฆ่ากันเพื่อแย่งที่ดินสวนมะพร้าว 45 ไร่ เพราะแต่ละคนก็มีอาชีพ มีรายได้ อีกทั้งที่ดินสวนมะพร้าวของคนตาย ก็เป็นที่สปก. ซึ่งการที่น้องสาว คือ นางสาวบุญเรือน เสียชีวิต ไม่มีใครได้ประโยชน์คนเดียว พี่น้องทุกคนต้องได้รับส่วนแบ่งเท่าๆ กัน ซึ่งก็จะเหลือคนละไม่กี่ไร่ จึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องทำแบบนั้น ส่วนตัวไม่ได้กังวลใจอะไรที่นายขวัญชัย ตกเป็นผู้ต้องหา
"ยอมรับว่าเสียใจที่นายขวัญ ตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับ ซึ่งทางครอบครัว ติดใจการทำงานของตำรวจมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว เนื่องจาก วันเกิดเหตุ เก็บหลักฐานไปไม่หมด ทั้งออกผลชันสูตรศพ กลับไปกลับมา รอบแรกลงว่า น้องสาวขาดอากาศหายใจก่อนตาย รองสองเปลี่ยนเป็นไม่ขาดอากาศหายใจ ทำให้ครอบครัวก็สับสน จนถึงทุกวันนี้ต้องเก็บศพน้องสาว โดยไม่เผาจนกว่าคดีจะสิ้นสุด" นางสุธาสินี กล่าว
ขณะเดียวกันวันนี้ ทีมข่าวได้เดินทางไปตามหา นายเดี่ยว (นามสมมติ) เป็นผอ.โรงเรียน ที่เป็นคนใกล้ชิดกับ น.ส.บุญเรือน และเคยตกเป็นผู้ต้องสงสัย แต่เจ้าตัวไม่อยู่ในโรงเรียน มีคุณครู ที่อยู่ภายในห้องเรียน ให้ข้อมูลกับทีมข่าวว่า ตัวผอ.เดี่ยว ไม่ได้เข้ามาที่โรงเรียนหลายวันแล้ว เนื่องจากตอนนี้โรงเรียนปิดเทอม ส่วนที่ ผอ.เดี่ยว รับปากกับน้องนริศ เอาไว้ว่า หากผู้ต้องหาถูกเปิดเผยว่าเป็นใครแล้วจะออกมาเปิดใจกับช่อง 8 ทาง ผอ.เดี่ยว แจ้งเอาไว้เพียงว่า ให้ขอเบอร์ทีมข่าวที่เดินทางมาเอาไว้ พร้อมเมื่อไหร่จะโทรศัพท์ไปนัดเพื่อออกมาชี้แจงกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น
ซึ่งวันนี้นอกจากทีมข่าวจะเข้าไปในโรงเรียน ยังไปสอบถามกับแม่ค้าที่ขายของอยู่หน้าโรงเรียนให้ข้อมูลมาว่า ส่วนตัวในฐานะที่เป็นชาวบ้าน รู้สึกดีใจ ที่ผอ.เดี่ยว พ้นมลทิน เนื่องจากตั้งแต่เป็นข่าว ชาวบ้านที่อยู่ใกล้กับโรงเรียน ไม่เคยมีใครคิดว่าคนดีอย่าง ผอ.เดี่ยว จะโหดร้ายถึงกับไปฆ่าคนได้ อีกอย่าง หลังเกิดเหตุ นักเรียนในโรงเรียนก็ยืนยันว่า ช่วงเวลาเกิดเหตุ ผอ.เดี่ยว อยู่ในโรงเรียนตลอด ทั้งนี้อยากให้ ผอ.เดี่ยว ออกมาชี้แจงด้วยตัวเองกับสื่อถึงเรื่องที่เกิดขึ้น
ด้านนางสุธาสินี พี่สาวที่ใกล้ชิดกับผู้ตาย และนายจักรธร โค้วปรีชา ยืนยันว่า ที่ผ่านมา พี่น้องทั้ง 9 คน ไม่เคยทะเลาะกัน แล้วก็ไม่เคยมีปัญหากันเรื่องมรดก จึงเป็นไปไม่ได้ที่พี่น้องจะฆ่ากันเพื่อแย่งที่ดินสวนมะพร้าว 45 ไร่ เพราะแต่ละคนก็มีอาชีพ มีรายได้ อีกทั้งที่ดินสวนมะพร้าวของคนตาย ก็เป็นที่สปก. ซึ่งการที่น้องสาว คือ นางสาวบุญเรือน เสียชีวิต ไม่มีใครได้ประโยชน์คนเดียว พี่น้องทุกคนต้องได้รับส่วนแบ่งเท่าๆ กัน ซึ่งก็จะเหลือคนละไม่กี่ไร่ จึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องทำแบบนั้น ส่วนตัวไม่ได้กังวลใจอะไรที่นายขวัญชัย ตกเป็นผู้ต้องหา
"ยอมรับว่าเสียใจที่นายขวัญ ตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับ ซึ่งทางครอบครัว ติดใจการทำงานของตำรวจมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว เนื่องจาก วันเกิดเหตุ เก็บหลักฐานไปไม่หมด ทั้งออกผลชันสูตรศพ กลับไปกลับมา รอบแรกลงว่า น้องสาวขาดอากาศหายใจก่อนตาย รองสองเปลี่ยนเป็นไม่ขาดอากาศหายใจ ทำให้ครอบครัวก็สับสน จนถึงทุกวันนี้ต้องเก็บศพน้องสาว โดยไม่เผาจนกว่าคดีจะสิ้นสุด" นางสุธาสินี กล่าว