เปิดหลักฐานชัด แอมนำสร้อยทองของนายแด้จำนำ-ขายที่อุดรฯ หลังแด้เสียชีวิต
นายพจปรีชา พนักงานกู้ภัยฉุกเฉิน มูลนิธิส่งเสริมธรรมแห่งอุดรธานี คนที่เข้าไปเก็บศพแด้ที่หอพัก วันที่ 12 มี.ค. 2566 เล่าว่า วันที่เข้าไปเก็บศพแด้ ก็เห็นสภาพศพสวมเพียงกางเกงในตัวเดียว แต่สภาพร่างกายยังไม่มีอะไรผิดปกติ เพราะยังเสียชีวิตไม่นาน โดยในช่วงที่เข้าไปเก็บศพก็เห็นแอมและเพื่อนอีก 2 คนอยู่ในที่เกิดเหตุ โดยแอมมีสภาพร้องไห้เสียใจ แต่ไม่ถึงกับฟูมฟาย ขณะเดียวกันก็ได้มีการพูดคุยกับเพื่อนว่าจะมีการจัดการกับศพอย่างไร ทำเรื่องแจ้งตายอย่างไร ซึ่งก็เป็นการพูดคุยกันปกติ
แต่ช่วงที่กำลังเก็บศพที่หอพัก แอมได้เข้ามาถามว่าจะเปิดม่านตาแด้ เพื่อปลดล็อกโทรศัพท์แด้ได้ไหม ซึ่งตนเองก็ตอบไปว่า สภาพศพเสียชีวิตมานานหลายชั่วโมงแล้ว รูม่านตาขยายและลูกตาดำได้ไหลขึ้นไปด้านบนแล้ว จึงไม่สามารถจะเปิดม่านตามาแสกนได้ แต่ตอนนั้นตนเองก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะคิดว่าเป็นการเสียชีวิตปกติ และก็เป็นเรื่องปกติที่สามี ภรรยากันจะต้องปลดล็อกโทรศัพท์มือถือ เพื่อติดต่อญาติหรืออาจจะมีข้อมูลสำคัญอยู่ในนั้นก็ได้
หลังจากนั้นตนเองก็ได้นำศพส่งโรงพยาบาลอุดรธานี ผ่านไปประมาณ 30 นาที แอมจึงได้มาติดต่อเรื่องศพของนายแด้ที่โรงพยาบาล ส่วนตนเองส่งศพเสร็จก็กลับมาที่มูลนิธิ
ทีมข่าวช่อง 8 ยังได้หลักฐานว่า แอมนำทองของแด้ไปจำนำที่ร้านทองในจังหวัดอุดรธานี ในวันที่ 13 มี.ค. 2566 เป็นสร้อยข้อมือทองคำ ราคา 85,800 บาท และ 18 มี.ค. 2566 เป็นสร้อยคอทองคำ ราคา 79,000 บาท
ด้าน พล.ต.ต.พิษณุ อุณหเสรี ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดอุดรธานี ได้เปิดเผยว่า ตามพยานหลักฐานที่พบหลังจากที่นายแด้เสียชีวิตไป 1 วัน นางสาวแอมได้นำสร้อยข้อมือน้ำหนัก 45.5 กรัม ไปจำนำกับร้านทองแห่งหนึ่งในอำเภอเมืองอุดรธานีจริง เป็นเงิน 85,800 บาท ก่อนจะเดินทางกลับไปจังหวัดราชบุรี เพื่อร่วมงานศพของนายแด้
จากนั้นก็มีพยานหลักฐานที่เชื่อได้ว่า วันที่ 18 มีนาคม นางสาวแอม และรองอ๊อฟ หรือพันตำรวจโทวิฑูรย์ อดีตสามี ได้เดินทางมาจากจังหวัดราชบุรี เดินทางโดยรถทัวร์กลับมาที่จังหวัดอุดรธานีอีกครั้ง นำสร้อยคอทองคำพร้อมพระเครื่อง น้ำหนัก 45.3 กรัม มาขายที่ร้านทองแห่งเดิมเป็นเงิน 79,000 บาท ซึ่งทั้ง 2 ครั้งมีการหลักฐานบัตรประชาชนยืนยันว่านางสาวแอม เป็นคนนำมาขายเอง
และหลังจากนำทองคำรูปพรรณมาขายเสร็จแล้ว คืนวันที่ 18 มีนาคม นางสาวแอม กับรองอ๊อฟ ก็ได้เดินทางไปที่หอพักแห่งหนึ่งในตำบลสามพร้าว อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี เพื่อมาเอารถยนต์ยี่ห้อเชฟโลเลต แคปติว่า ซึ่งเป็นรถของนายแด้ที่ซื้อมาจากเว็ปเถื่อน ที่นางสาวแอมได้นำมาจอดเอาไว้หลังนายแด้เสียชีวิต ขับออกไปจากหอพักดังกล่าว แล้วพักค้างคืนที่จังหวัดอุดรธานี 1 คืน ก่อนจะเดินทางกลับพร้อมกันด้วยรถคันดังกล่าวในวันที่ 19 มีนาคม โดยมีหลักฐานคือกล้องวงจรปิดของตำรวจทางหลวง อำเภอวาปีปทุม จังหวัดอุดรธานี
นอกจากนี้ ตำรวจยังไปเจอข้อมูลใหม่อีกว่า รถเชฟโรเลต แคปติว่า คันดังกล่าวมีการแจ้งหายไว้ แต่ขณะที่นำรถมาใช้ถูกนำทะเบียนจากรถมาสด้าสีขาวมาสวมแทน
ขณะที่ นางวันเพ็ญ ยายของนายแด้ กล่าวว่า หลังจากที่เมื่อวานนี้มีการออกหมายจับ ทางครอบครัวก็รู้สึกมีความมั่นใจว่าจะคืนความยุติธรรมให้หลานชายได้ กระทั่งเมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา ศาลจังหวัดนครปฐมได้อนุญาตให้ประกันตัวพันตำรวจโทวิฑูรย์ ชั่วคราว ยอมรับว่าขณะนี้ทางครอบครัวมีความวิตกกังวลในเรื่องของความปลอดภัย
จากนั้น นางวันเพ็ญได้ยกมือพนมร้องไห้น้ำตาซึม พร้อมกล่าวว่า ตนอยากฝากไปถึงผู้หลักผู้ใหญ่ขอให้ช่วยดูแลความปลอดภัยให้กับครอบครัวของตนด้วย แต่หากผู้ไม่ประสงค์ดีจะลงมือทำอะไร ก็ขอให้มาทำกับตนเอง อย่าไปทำกับลูกหลาน ตนทำใจไม่ไหวแล้ว แค่คนเดียวก็หัวใจสลายแล้ว
ในส่วนประเด็นเรื่องทรัพย์สินของนายแด้ นางวันเพ็ญ เปิดเผยว่า เมื่อประมาณครึ่งเดือน ก่อนหน้าที่หลายชายจะเสียชีวิตได้พาแอมมาหาตนที่บ้านพัก ในช่วงเวลานั้นตนยังเห็นว่าหลานชายสวมใส่ทองรูปพรรณ ทั้งสร้อยคอน้ำหนัก 5 บาท สร้อยข้อมือ 5 บาท และแหวนทอง 1 บาท รวมถึงพระสมเด็จเลี่ยมทอง 1 องค์
แต่หลังจากหลานชายเสียชีวิต แอมได้มาบอกกับตนว่า ทรัพย์สินที่เป็นทองรูปพรรณมี สร้อยคอ 5 บาท สร้อยข้อมือ 3 บาท และแหวน 2 สลึง และยังไปพูดกับแม่ของหลานชายอีกว่า แด้ตายไปแล้วยังหาคุกให้ตน เพราะทองที่นำไปขายเป็นของปลอม กระทั่งมาทราบข้อเท็จจริงว่า แอมได้นำทองทั้งหมดไปขายที่ จ.อุดรธานี ทันทีที่หลานชายเสียชีวิต แต่ในตอนนั้นตนไม่ได้คิดอะไร เพราะเด็กในท้องแอมเป็นลูกของแด้
กระทั่งปัจจุบัน หลังจากทราบว่าแอมทำกับแด้เช่นนี้ หากเป็นไปได้ทางครอบครัวอยากได้ทรัพย์สินเหล่านั้นคืน เพื่อจะนำไปทำบุญสร้างกุศลให้กับแด้ โดยเฉพาะพระสมเด็จเลี่ยมทอง ซึ่งเป็นของที่มีคุณค่าทางจิตใจอย่างมาก เนื่องจากเป็นของขวัญที่พ่อบุญธรรมของแด้มอบให้เมื่อประมาณสิบปีก่อน
รวมไปถึงอยากตรวจ DNA เด็กในท้องของแอมว่ามีเลือดเนื้อเชื้อไขของแด้หรือไม่ แต่ขอพูดตรงๆ ว่า ถ้าตรวจแล้วมี ตนก็ไม่เอา เพราะตนรับแม่เด็กไม่ได้
ทั้งนี้ ตนอยากฝากข้อความถึงแอมว่า “กรรมใดที่เราก่อ ถึงจะปิดบังเท่าไหร่ มันก็สนอง โกหกใครก็โกหกได้ แต่โกหกใจตัวเองไม่ได้ ถึงขั้นนี้แล้วควรรับสารภาพ”