ส.ว.เสียงแตก หนุน-ต้าน "พิธา" เตือนระวังไอ้โม่งคุมเกมและคนรอเสียบ
ภายหลังจากที่นัดหมาย มาประชุมจัดตั้งรัฐบาลครั้งแรก นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคก้าวไกล ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า ทุกคนในวันนี้พอใจเป็นอย่างมากบรรยากาศชื่นมื่น เธอต้องการให้มีส่วนร่วมและต้องการให้มีความชัดเจนและแสดงเอกภาพรวมจัดตั้งรัฐบาลได้ วันนี้จัดเต็มที่แจ้งว่ามีกระบวนการหรือโรดแมปอะไรบ้าง โดยขณะนี้กำลังจะมีคดีแต่ขอให้ภาคเอกชนประชาชนและทุกคนสบายใจได้ว่า ไม่ได้มีความอะไรไม่ได้นอนอย่างที่มีความสุขกังวลจะพยายามให้มีเสถียรภาพในการบริหารประเทศให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ และเร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
ไล่ย้อนไปยังคำพูดของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน พรรคเพื่อไทย ได้กล่าวไว้ว่าจะประสานพูดคุยกับส.ว.คาดว่าน่าจะได้ประมาณ 30 เสียง
เมื่อนำมาวิเคราะห์ นั่นหมายความว่าอาจจะได้เสียจากปากเสียงข้างน้อยประมาณ 30 เสียง โดยพรรคประชาธิปัตย์ ก็อสดงเจตจำนงชีดเจนว่าสนับสนุนนายพิธา ซึ่งก็มีความเป็นไปได้สูง ว่าพรรคก้าวไกลจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้
ในขณะเดียวกัน นายชวน หลีกภัย ออกมาให้สัมภาษณ์ก่อนหน้านี้ "ผมคิดว่าอย่าไปก้าวก่ายคนอื่นเขาเลย แต่ละพรรคคิดอย่างไรก็คิดเอา และมีมติของเขาเอง ดังนั้นอย่าไปก้าวก่ายกับรุกล้ำ ไม่ควรให้คนอื่นเขาคิดเหมือนตัวเอง แต่ละพรรคเขาคิดเองได้ และเขามีสติปัญญาที่จะคิดเองได้"
ล่าสุดนายชวน ออกมาให้สัมภาษณ์อีกครั้ง ภายหลังจากที่มีการตีความไม่ตรงเจตนารมณ์ โดยไม่ได้พุ่งเป้าไปที่พรรคใดพรรคหนึ่ง อละยืนยันว่าประเด็นที่พูดถึง อย่าไปก้าวก่ายพรรคอื่น เป็นการพูดถึงกระแสกดดันจากบุคคลบางกลุ่ม ที่เรียกร้องให้พรรคประชาธิปัตย์และพรรคอื่นๆ ตัดสินใจเรื่องโหวตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเรื่องนี้แต่ละพรรคมีกระบวนการพิจารณาตามขั้นตอน ของแต่ละพรรคอยู่แล้ว ไม่ต้องมีใครแนะนำหรือมากดดัน เพราะการตัดสินใจในนามพรรคต้องมีมติพรรค มีการรับฟังความเห็นของผู้บริหารพรรค อีกทั้งเรื่องนี้นายพิธาก็ไม่ได้เป็นผู้กดดัน และไม่ได้เป็นกลุ่มคนที่หมายถึง
ขณะที่คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ พรรคไทยสร้างไทย ออกมาบอกเพราะเป็นพรรคร่วมเสียงข้างมาก บอกว่า เราคิดว่าวันนี้สิ่งที่ไทยสร้างไทยพูดมาตลอด คืออยากให้การจัดตั้งรัฐบาลใหม่เป็นไปด้วยความเรียบร้อย และอยากให้ทุกฝ่ายเคารพการตัดสินใจของประชาชน ซึ่งตนพูดมาเสมอว่าพรรคที่ได้ลำดับหนึ่งมีสิทธิ์จัดตั้งรัฐบาล และหวังว่าทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งพรรคการเมืองและส.ว. ควรจะเคารพเสียงของประชาชน ฉะนั้นจุดยืนของเราชัดเจน
ขณะเดียวกันขุมกำลังของส.ว. นายวุฒิพันธุ์ วิชัยรัตน์ ทำจดหมายเปิดผนึก โดยสนับสนุนเสียงข้างมาก ขอถือโอกาสนี้แสดงเจตนารมณ์ภายใต้สิทธิสมาชิกวุฒิสภา ตามบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพ.ศ.2560 สันบสนุนให้แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ในบัญชีพรรคการเมืองที่มีจำนวนส.ส.มากที่สุด ได้ทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี ทั้งนี้เพื่อจรรโลงไว้เพื่อความสมานฉันท์ในบ้านเมือง และธำรงไว้ซึ่งหลักการตามระบอบประชาธิปไตย ตลอดจนสอดคล้องกับฉันทามติของมหาชน ที่ไปใช้สิทธิออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งส.ส. เมื่อวันอาทิตย์ที่ 14 พ.ค. 2566
เช่นเดียวกับนายรณวริทธิ์ ปริยฉัตรตระกูล ส.ว. สว.ร้อยเอ็ด เปิดเผยว่า เจ้าตัวเชื่อว่าพรรคเสียงข้างมากจะตั้งรัฐบาลได้ และพร้อมที่จะสนับสนุนการตั้งรัฐบาล และนายกรัฐมนตรีที่มาจากการการเลือกตั้ง แต่มีข้อแม้ว่าต้องไม่แตะสถาบัน ด้วยการแก้หรือยกเลิก ม.112 โดยพร้อมสนับสนุน
ขณะที่นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา กล่าวว่า ส่วนตัวมีกติกาชัดเจนว่า คนที่มาเป็นนายกรัฐมนตรีจะต้องมีความซื่อสัตย์สุจริต มีวิสัยทัศน์นำพาประเทศไปสู่ความเจริญ ไม่สร้างความขัดแย้ง ไม่สร้างศัตรู หรือเป็นคู่กรณีกับประเทศใด และรัฐบาลใหม่จะสามารถพาประเทศ ไปสู่การเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วได้หรือไม่
นายสมชาย เชื่อว่า สว. จะมีวุฒิภาวะ ในการพิจารณาจะเลือกใคร ส่วนตัวไม่ขอก้าวล่วง ส่วนที่หลายคนตั้งข้อสังเกตว่า ส.ว. จะขวางไม่ให้พรรคก้าวไกล จัดตั้งรัฐบาลนั้น จะกลายเป็นสร้างแรงกดดัน ให้กับ ส.ว. เลือกนายพิธา เป็นนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียว ซึ่งไม่ควรทำ
ขณะเดียวกัน ต้องพิจารณาอีกหลายอย่างประกอบ อย่างเช่นการเสนอแก้ไขมาตรา 112 ที่หลายคนเป็นกังวล นอกจากนี้ นายพิธา ต้องพิสูจน์เรื่องการถือครองหุ้นในบริษัทสื่อมวลชน ที่ยังประกอบกิจการอยู่ด้วย ซึ่ง กกต. จะต้องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย เพื่อให้การขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีของนายพิธาเป็นที่ยอมรับของสังคม
นอกจากนี้ นายสังศิต พิริยะรังสรรค์ สมาชิกวุฒิสภา และอาจารย์ประจำวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า มี 2 เงื่อนไข คือ 1. เรื่องอธิปไตยของประเทศโดยรัฐบาลจะต้องไม่อนุญาต ประเทศมหาอำนาจ เข้ามาตั้งฐานทัพในประเทศไทย และต้องไม่ให้ประเทศไทยถูกใช้เป็นพื้นที่ในการต่อสู้กับบางชาติ 2.คนที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรี จะต้องไม่มีท่าที หรือนโยบายสนับสนุนให้มีการ ใช้ความรุนแรงระหว่างประชาชนหรือองค์กรใดก็ตาม เพราะการใช้ Social Media หรือใช้พลัง สังคมออกมากดดันองค์กรใดองค์กรหนึ่ง ที่ส่อไปว่าจะมีการใช้ความรุนแรง ตนมองว่า ผู้นำรัฐบาลแบบนั้น ไม่ส่งเสริมให้เกิดความสงบสุขในบ้านเมือง
นายวันชัย สอนศิริ ส.ว. โพสต์ข้อความในโลกออนไลน์ "จุดยืนไม่เปลี่ยน...ขอทำความเข้าใจให้ชัดเจนว่าสิ่งที่โซเชียลเอาไปปะติดปะต่อ จับแพะชนแกะ เหมือนกับผมพูดให้ก้าวไกลไปเป็นฝ่ายค้านนั้น แล้วก็เอาคำพูดบางตอนมาตัดต่อขยายความกันไปสารพัด พูดมันส์ปากกันไปเรื่อยเปื่อย ขอยืนยันว่าไม่ใช่ความจริง เพราะกว่าจะมาถึงข้อความนั้นมันเป็นคำอธิบายว่า ถ้าโหวตแล้วพรรคก้าวไกลได้เป็นรัฐบาล ก็เป็นไปตามที่เสียงส่วนใหญ่โหวตให้ แต่ถ้าโหวตแล้วไม่ผ่าน ไม่ได้เป็น ก็ต้องให้คนอื่นเขาจัดตั้งรัฐบาลต่อไป พรรคก้าวไกลก็ไปเป็นฝ่ายค้าน เป็นไปตามครรลองของรัฐธรรมนูญตามหลักการปกติ เป็นคำอธิบายในหลักการทั่วๆไป ไม่ได้ไล่ให้พรรคก้าวไกลไปเป็นฝ่ายค้าน ใส่สีตีไข่ไปกันใหญ่ แล้วการตัดต่อเสียงก็ไม่ได้ตัดมาให้ครบถ้วนมาตั้งแต่ต้น คนก็ไปฟังบางส่วนบางตอนเลยเข้าใจผิดกันไปใหญ่
โดยส่วนตัวของผมยืนยันว่า
1. ใครรวมเสียงส.ส.ได้ข้างมากก็โหวตให้คนนั้น
2. เป็นไปตามหลักประชาธิปไตยและตามความต้องการของเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน
3. เพื่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง
จุดยืนนี้ไม่เปลี่ยนแปลงครับ... จบแล้ว... ต่อแต่นี้ขอนั่งสมาธิ สวดมนต์ภาวนาเพื่อความสงบร่มเย็น ณ วัดไก่เตี้ย เขตตลิ่งชัน... มากราบหลวงพ่อสัมฤทธิ์ประสิทธิโชคกันนะครับ สาธุ"
ทีมข่าวช่อง8 เช็กขุมกำลังส.ว. ที่พร้อมเลือกนายกรัฐมนตรีตามเจตนามหาชน
รวมทั้งที่ยังอยู่ระหว่างการตัดสินใจ
นอกจากนี้มีส.ว.ที่แสดงเจตจำนงชัดเจน
รวมถึงส.ว.ที่งดออกเสียง และผบ.เหล่าทัพ
ทีมข่าวช่อง8 ได้พูดคุยกับนางสาวรสนา โตสิตระกูล อดีตสมาชิกวุฒิสภา กรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า การที่พรรคก้าวไกลชนะเลือกตั้ง ครั้งนี้ที่สามารถเอาชนะบ้านใหญ่ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการเมืองในประเทศไทย ที่ทำให้ระบบการเมืองแบบครอบครัวหรือการเมืองแบบใช้กระสุนที่กลุ่มนายทุนพยายามเข้ามาใช้เงินในการเลือกตั้ง เพื่อหวังผลประโยชน์ทางการเมืองล่มสลายไป ตนเองจึงได้มีข้อเสนอว่าพรรคก้าวไกล ที่มีคะแนนสูงสุดควรที่เป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล
ถ้าหากพรรคเพื่อไทยต้องการที่จะตั้งรัฐบาลเป็นพรรคอันดับที่สองแล้วไปนำพรรคการเมืองเช่นพรรคของลุง มาร่วม โดยไม่มีพรรคก้าวไกล ซึ่งเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของสังคมอยู่ตอนนี้ ให้พรรคเพื่อไทยไปถามคะแนนฐานเสียงของตนเองว่าต้องการให้พรรคเพื่อไทยเป็นเสียงข้างมากแล้วต้องการให้คนอื่นมาเป็นนายกรัฐมนตรีใช่หรือไม่
ขณะเดียวกันนายไพศาล พืชมงคล อดีตสมาชิกวุฒิสภา กล่าวว่า ต้องยอมรับว่าการเลือกตั้งครั้งนี้พลิกล็อกจริงๆ แต่ตนเห็นอยู่ก่อนแล้วว่าแค่ละพรรคจะเป็นอย่างไร เนื่องจากเคยวิเคราะห์ไว้ก่อนเลือกตั้งประมาณ 2 เดือนก่อนเลือกตั้ง โดยเคยบอกไว้ว่าอย่าประมาทพรรคก้าวไกล เขาอาจจะชนะถล่มทลาย พรรคทั้งหลายอาจจะถูกน็อก ซึ่งวันนี้เป็นความจริง เนื่องจากโลกเปลี่ยนไป พรรคการเมืองใดยังใช้การหาเสียงแบบเก่าไม่สามารถรณรงค์ได้อย่างทั่วถึง
แต่หากจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ความชอบธรรมส่วนนี้จะตกมาถึงพรรคที่ได้เสียงลำดับที่ 2 คือพรรคเพื่อไทย และหากไม่ได้อีกก็จะต้องไปสู่พรรคอันดับถัดไป
ส่วนกระแสข่าวว่ามีการชิงตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย ค่อยๆ หาเสียงมาเติมทีหลัง ตนเชื่อว่าทำได้ยาก ฉะนั้นถ้าปล่อยให้กระบวนการได้ดำเนินไปตามครรลองจะงดงามในระบบประชาธิปไตย แต่ถ้าผิดเพี้ยนมีการใช้วิชาไสยศาสตร์ทางกฎหมาย ชิงตั้งโดยมีการอวดดื้อถือดีว่ามีอำนาจ ตนเชื่อมั่นว่าครั้งนี้ประชาชนจะไม่ยอมและจะได้รู้ว่านรกมีจริง
ทั้งนี้ในการจัดตั้งรัฐบาล ต้องไล่ลำดับมาจากพรรคก้าวไกล ที่มีสิทธิ์ชอบธรรม ซึ่งเมื่อวานหัวหน้าพรรคก้าวไกล บอกว่ารวบรวมเสียงได้ 309 เสียง ทั้งหวังว่าส.ว. จะช่วยโหวตให้ ซึ่งมีข่าวออกมาว่า "ไอ้โม่งเรียกประชุมส.ว.ออกคำสั่งไม่ให้แตกแถว ใครสั่งไม่รู้ และใครไปประชุมให้รายงานตัวหากซื่อตรงกับประเทศชาติ ซึ่งหากเป็นจริงแสดงว่าส.ว. ชุดนี้ใช้ไม่ได้ เพราะมีการประพฤติตนไม่ตรงตามที่ถวายสัตย์ปฏิญาณตนไว้ ซึ่งจะต้องไปอยู่ใต้คำสั่งของใครหากอยู่ใต้คำสั่งเช่นนี้ประชาชนเค้าดูอยู่แสดงว่า ส.ว. หมดฐานะทันที"
ทีมข่าวช่อง8 เปิดรายได้ส.ว. โดยภายใน 1 ปี ใช้งบประมาณแผ่นดิน 340,808,640 บาท