พ่อแม่ใจสลาย แฉรถใจดำขวางกู้ภัยทำลูกตาย สลดปั๊มหัวใจกลางถนน
เป็นอีกหนึ่งเรื่องราวสุดสลด จากการสูญเสียที่ยากจะทำใจของคุณแม่ท่านหนึ่ง ที่ผู้ใช้ Tiktok ได้โพสต์คลิปนาทีชีวิต เมื่อต้องส่งตัวลูกสาววัย 10 เดือนที่ป่วยมีคิวผ่าตัดเปลี่ยนตับที่โรงพยาบาลรามาธิบดี แต่ระหว่างทางได้มีรถบรรทุกคันหนึ่งขับแช่ขวาขวางทางรถพยาบาล เป็นระยะทางไกลกว่า 10 กิโลเมตร ทำให้ไปถึงโรงพยาบาลไม่ทัน น้องจากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ
โดย ด.ญ.ณัฏฐณิชา หรือน้องเฌอเน่ เกิดเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2565 เริ่มอาการท่อน้ำดีตีบตันวันที่ 6 ธันวาคม 2565 จนกระทั่งได้นำชิ้นตับไปตรวจ พบว่าตับแข็ง ในวันที่ 10 มกราคม 2566 และได้รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลชลบุรี กระทั่งในวันที่ 16 พฤษภาคม ทางแพทย์มีความจำเป็นต้องส่งตัวไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลรามาฯ แล้วก็ต้องจากไปในเวลาประมาณ 23.30 น. ขณะอายุ 10 เดือน 22 วัน
วันที่ 24 พ.ค. 2566 ทีมข่าวช่อง 8 ได้ไปพบกับ น.ส.เสาวลักษณ์ อายุ 28 ปี แม่ของน้องเฌอเน่ ที่จังหวัดจันทบุรี โดยคุณแม่ เปิดใจว่า น้องได้เริ่มมีอาการแทรกซ้อนมาเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง โดยมีอาการถ่ายเป็นเลือดไป 2 รอบ ส่องกล้องเข้าไปในลำไส้พบว่ากระเพาะอาหารโป่งพอง จึงได้มีการรักษาเพื่อป้องกันไม่ให้น้องเลือดออกฉุกเฉิน
จนกระทั่งน้องเฌอเน่ ได้รับข่าวดีจากทีมแพทย์ ว่าในวันที่ 24 พฤษภาคม 2566 น้องจะได้รับการปลูกถ่ายตับจากพ่อของน้อง แล้วได้ให้น้องกลับบ้านไปเตรียมตัวรอผ่าตัด แต่เมื่อช่วงเช้าวันที่ 16 พฤษภาคม ที่ผ่านมา จู่ๆ น้องมีอาการไอ และสำลักเป็นก้อนเลือด แม่จึงได้รีบพาน้องไปส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดในชลบุรี ทำให้แพทย์ต้องรักษาฉุกเฉินแล้วมีอาการทรงตัว จากนั้นแพทย์ได้ย้ายน้องเข้าห้องไอซียู เพื่อรอส่งตัวน้องไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลรามา ช่วงเวลาประมาณ 18.00 น. น้องเกิดอาการกระอักเลือดออกมาอีกรอบ และเสียเลือดมาก จึงได้มีการรักษาในเบื้องต้น จนต่อมาน้องมีอาการดีขึ้น กระทั่งหมอแจ้งพ่อกับแม่น้องว่าน้องสามารถส่งตัวเดินทางไปกับรถพยาบาล พร้อมทีมแพทย์ช่วงเวลา 21.30 น.
โดยการส่งตัว ตนเองได้นั่งไปรถฉุกเฉินไปด้วย และปรากฏว่าระหว่างทางก็ไปเจอกับรถคันดังกล่าว ที่ไม่ยอมหลบทางให้ น้องได้มีอาการช็อก ชีพจรต่ำ กระอักเลือดอีกครั้ง ทำให้ทางแพทย์ต้องให้วิทยุสื่อสารขอเปิดทางไปกับทางกู้ภัยบนทางด่วน เพื่อจะเร่งนำตัวน้องส่งโรงพยาบาลใกล้เคียงให้เร็วที่สุด แต่ก็เป็นไปตามคลิป รถคันดังกล่าวขับชิดขวาไม่ยอมหลบทางให้เป็นระยะทางประมาณ 10 กิโลเมตร ซึ่งตอนนั้นยอมรับว่าเป็นช่วงนาทีที่บีบหัวใจมาก มองไปข้างหน้ารถก็ไม่ยอมหลบทางให้ หันไปข้างหลังก็เห็นภาพแพทย์กำลังปั๊มหัวใจให้ลูกอยู่
จากนั้นพอรถฉุกเฉินเริ่มแซงซ้ายไปได้ ภาพที่เห็นมันช่างเจ็บปวดที่สุด คือ มองไปเห็นรถบรรทุกคันดังกล่าว ขับเปิดกระจกสูบบุหรี่ชิวๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น กระทั่งทางทีมแพทย์ ต้องตัดสินใจจอดรถบนทางด่วน แล้วก็พยายามปั๊มหัวใจน้อง แต่น้องชีพจรแย่ลง โดยใช้เวลา 1 ชม. กว่า ปั๊มหัวใจไปจนถึงโรงพยาบาลใกล้เคียง จนกระทั่งแพทย์ได้แจ้งพ่อกับแม่ว่า น้องยังไม่ตอบสนอง แต่แม่ขอร้องให้ช่วยปั๊มต่อ หมอได้ช่วยยื้อชีวิตน้องอย่างเต็มที่ และขอให้พ่อกับแม่ยินยอมการหยุดช่วยชีวิตในเวลา 23.30 น. ที่ห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลรวมชัยประชารักษ์
ด้านนายเจตรินทร์ อายุ 28 ปี พ่อของน้องเฌอเน่ บอกว่า วันเกิดเหตุตนเองไม่ได้อยู่ในรถ แต่ได้ขับตามรถฉุกเฉินตั้งแต่ลูกออกจากโรงพยาบาล ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เห็นตลอดทางว่าทางแพทย์ช่วยเหลือลูกยังไงบ้าง เนื่องมองเห็นจากกระจกหลังรถฉุกเฉิน ซึ่งก็มีเอะใจบ้างระหว่างทาง ว่าทำไมรถฉุกเฉินถึงขับช้า กระทั่งแพทย์บนรถฉุกเฉินตัดสินใจจอดรถปั๊มหัวใจลูกบนทางด่วน ถึงมารู้ภายหลังจากภรรยาว่า ที่รถฉุกเฉินขับช้า เพราะมีรถไม่ยอมหลบทางให้
เสียใจมาก พูดอะไรไม่ออก หากรถคันดังกล่าวหลบทางให้ ลูกก็อาจจะรอด
สอบถามคุณโบ๊ท วิบูลนันท์ อาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญ รหัส ดารา48 ให้ข้อมูลว่า จริงๆ แล้วสาเหตุหนึ่งที่รถฉุกเฉินไม่ค่อยเปลี่ยนช่องทางเพื่อแซงรถคันด้านหน้านั้น เนื่องจากการเปลี่ยนช่องทางอาจทำให้ผู้ป่วย หรือบุคลากรทางการแพทย์ที่กำลังปฐมพยาบาลผู้ป่วยอยู่บนรถฉุกเฉิน ได้รับอุบัติเหตุจากแรงเหวี่ยงของรถได้
ส่วนในเรื่องกฎหมาย กำหนดให้เมื่อเห็นรถฉุกเฉินในขณะปฏิบัติหน้าที่ใช้ไฟสัญญาณแสงวับวาบหรือได้ยินเสียงสัญญาณไซเรน หรือเสียงสัญญาณอย่างอื่น ต้องให้รถฉุกเฉินผ่านไปก่อน โดยปฏิบัติ ดังนี้
1. สำหรับคนเดินเท้าต้องหยุดและหลบให้ชิดขอบทาง หรือขึ้นไปบนทางเขตปลอดภัย หรือไหล่ทางที่ใกล้ที่สุด 2. สำหรับผู้ขับขี่ต้องหยุดรถหรือจอดรถให้อยู่ชิดขอบทางด้านซ้าย แต่ห้ามหยุดรถหรือจอดรถในทางร่วมทางแยก
หากไม่ปฏิบัติตามต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 500 บาท และกรณีไม่หลบรถฉุกเฉินจนเป็นเหตุให้ผู้บาดเจ็บหรือผู้ป่วย ที่อยู่ในรถถึงแก่ชีวิต อาจมีความผิดฐานกระทำการโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี และปรับไม่เกิน 200,000 บาท