"สมาพันธ์การขนส่งทางบก" ร้อง "วิโรจน์" ช่วยปราบส่วยสติ๊กเกอร์ โอดรอมา 20 ปี แห่ร้องทุกที่แต่ถูกข่มขู่ แฉจนท.ระดับล่างแจกเบอร์โทรเคลียร์ "เจ้านาย" มีรถบรรทุกจ่ายส่วยกว่า 40-50 ป้าย รวมกว่า 2 แสนคัน "วิโรจน์" แฉอีก ยังมีตำรวจท้องที่ด้านจราจรร่วมด้วย

1 มิ.ย. 66 สมาชิกสมาพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย ประมาณ 30 คน เข้ายื่นหนังสือและเอกสารหลักฐานเกี่ยวกับส่วยทางหลวง ให้แก่นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล เรียกร้องให้นำไปสู่การแก้ไขปัญหา

 

นายวิโรจน์ กล่าวนำว่า เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่พรรคก้าวไกลได้รับเกียรติจากสมาพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็น การรวมตัวกันของผู้ประกอบการและสมาคมที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งถึง 10 สมาคม และเป็นเกียรติที่จะเราจะได้ทำงานร่วมกันในเรื่องการขจัดปัญหาคอร์รัปชั่นให้หมดไปจากแวดวงธุรกิจขนส่ง ซึ่งตอนนี้รุนแรงมาก ส่งผลมาถึงต้นทุนการอุปโภค บริโภค

 

ขณะที่นายอภิชาติ ไพรรุ่งเรือง ประธานสมาพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย กล่าวขอบคุณนายวิโรจน์ ที่ให้โอกาสมายื่นหนังสือในครั้งนี้ ซึ่งตนเองอยากจะเรียนว่า ยุทธวิธีของการมีส่วย เกิดมาตั้งแต่ปี 2539 จนเพิ่มความรุนแรงมาจนถึงปีนี้ และเคยมีการพูดถึงในสื่อมวลชนต่างๆมาแล้ว เช่น สมัยไอทีวี ช่วงปี2539 ซึ่งมีการแอบถ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ไปรับเงินตามริมถนน ทำให้มีการพัฒนาขึ้นมาเป็นแผ่นสติ๊กเกอร์ เพื่อแสดงสัญลักษณ์ของแต่ละเจ้า ซึ่งตนเองได้เฝ้ารอมา20ปีแล้ว ในอดีตที่ผ่านมามีการร้องเรียนทุกกระบวนการตามหน่วยงานต่างๆตั้งแต่นายกรัฐมนตรี ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และตำรวจทางหลวง ซึ่งก็ถูกข่มขู่และมีการนำเบอร์โทรศัพท์มาให้เพื่อเคลียร์ค่าส่วย ซึ่งรถบรรทุกที่จดทะเบียนกับกรมขนส่งทางบก มี 1,500,000คัน แต่สมาชิกที่อยู่ในสมาพันธ์มี 400,000คัน โดยเรามีการลง MOUกันว่าจะอยู่ภายใต้กฎหมายและพยายามชักจูงผู้ประกอบการรายอื่นเข้ามาอยู่ภายใต้กฎหมายด้วย แต่ไม่สามารถสู้เจ้าหน้าที่รัฐที่กดดันได้

 

"จะมีเจ้าหน้าที่ระดับล่าง มาให้เบอร์โทรศัพท์ไปเคลียร์กับเจ้านาย และพัฒนามาเรื่อยๆจากเมื่อก่อน 4-5 ป้าย แต่ตอนนี้มีอยู่ 40-50 ป้าย" นายอภิชาติกล่าว

 

นายอภิชาติ ยังกล่าวต่อว่า ในยุคของพรรคก้าวไกล ที่กำลังฟอร์มรัฐบาล และนายวิโรจน์ ได้ประทุปัญหาออกมา ให้ประชาชนเห็น จนกระทั่งมีการฌยกย้ายผู้บังคับการตำรวจทางหลวง จึงขอให้ลองคิดว่า ขณะนี้นายวิโรจน์ ยังไม่ได้เป็นรัฐมนตรีอะไรเลยก็ยังหยิบปัญหา ที่เป็นหัวใจสำคัญอย่างการขนส่งมาให้แก้ไข

 

พร้อมมองว่า หากการขนส่งไม่ราบรื่น ราคาสินค้าอุปโภคบริโภค ก็จะติดขัดไปด้วย หากยังมีระบบส่วยอยู่ก็จะทำให้ต้นทุนสูงขึ้น อีกทั้งรัฐบาลที่แล้วไม่สามารถบริหารให้ลดราคาพลังงานลงได้ ทำให้ราคาสินค้าถีบตัวสูงขึ้น

 

"เราพบแสงสีส้มที่ปลายอุโมงค์แล้ว ในอดีตที่ผ่านมาฝนตั้งเค้าแต่ไม่ตกสักที วันนี้อยากจะเรียนกับผู้สื่อข่าวว่า ฝนกำลังเริ่มตกแล้วจะชะล้างสิ่งที่สกปรกในพื้นที่ของประเทศไทยให้สะอาดหมดจด ผมเองมีความปลาบปลื้มเป็นอย่างยิ่ง เพราะที่ผ่านมาไม่สามารถจะขจัดปัญหานี้ได้"

 

นายอภิชาติ ยังย้ำอีกว่า สิ่งที่นายวิโรจน์ทำเพียงแค่3-4 วันก็สามารถย้ายผู้การได้

 

เมื่อถามว่า มั่นใจแค่ไหนว่าจะเคลียร์ปัญหานี้ได้ทั้งขบวนการ นายอภิชาติกล่าวว่า ขึ้นอยู่กันคนที่จะมาทำงานวันนี่ว่ามีความตั้งใจจริงหรือไม่ เพราะในอดีตที่ผ่านมามีแต่คำหลอกลวง แต่ตอนนี้นายวิโรจน์ได้ประชุมกับคณะสมาพันธ์แล้ว และภายหลังการแถลงข่าวก็จะมีการตกผลึกในกระบวนการขนส่งของประเทศไทย ส่วนจะแก้ไขได้ทั้งระบบหรือไม่มองว่า ปัญหานี้มีความเรื้อรังยาวนานต้องใช้ระยะเงลาแต่อย่างน้อยก็มีจุดเริ่มต้น

 

เมื่อถามว่า ประมาณการณ์ตัวเลขของผู้ประกอบการรถบรรทุกที่ไปจ่ายส่วยไว้กี่ราย และความเสียหาย20กว่าปีที่ผ่านมาเป็นเท่าไร นายอภิชาติ ตอบว่า ตัวเลขผู้ประกอบการทั้งหมด 1,500,000ราย มีผู้ประกอบการที่อยู่ในสมาพันธ์ 400,000ราย ซึ่งเป็นเพียง1ใน 3ของผู้ประกอบการทั้งหมด ซึ่งในจำนวนนี้ไม่มีใครทำผิดกฎหมาย แต่จำนวนที่เหลืออีก 1ล้านราย สามารถพูดได้ว่ามี 20% หรือประมาณ 200,000คัน ต้องจ่ายค่าสติ๊กเกอร์ให้เจ้าหน้าที่ โดยราคาก็จะมีหลายเกรด ซึ่งมีราคาตั้งแต่ 3,000-5,000บาท ไล่เกรดไปถึง 6,000-8,000บาท และ 10,000-15,000บาท จากนั้นก็เพิ่มระดับไปเรื่อยๆจนถึงระดับพรีเมี่ยมที่สามารถบรรทุกของไม่จำกัดน้ำหนักได้ ตนจึงตั้งคำถามว่าถนนที่ก่อสร้างมาด้วยงบประมาณหลายแสนล้านมาถูกทำลายด้วยสาวยสติ๊กเกอร์ เราจึงต้องเปิดหน้าให้ข้าราชการที่รับอามิสสินข้างตื่นตัวสักที และตนมั่นใจว่าวันนี้มาถูกที่ถูกทางแล้ว

 

เมื่อถามถึงวิธีการจำหน่ายสติ๊กเกอร์ จะมีเจ้าหน้าที่ระดับล่าง เช่นนายสิบ นายดาบให้รถบรรทุกไปเคลียร์กับเจ้านาย ซึ่งเราไม่ทราบว่าเจ้านายเป็นใคร พอบอกว่าเป็นรถบรรทุกที่มาจากสมาพันธ์ จะไม่มีการเคลียร์ก็จะถูกกดันมาโดยตลอด ซึ่งรถ1คันก็จะหาความผิดได้หมดเลย เช่น ถูกออกในสั่งเรื่องติดไฟเพิ่ม โดนในเรื่องอื่น เช่น ความเร็ว ดังนั้นเรื่องนี้เราไม่ยอม ซึ่งมองว่ากรณีลักษณะนี้ เหมือน 'ส่วยซ่อนรูป' เพราะเหมือนกับการขุดบ่อล่อปลา

 

นายอภิชาติ ยังย้ำอีกว่า เราโดนกลั่งแกล้ง และวันนี้ที่กล้าออกมาพูดเพราะมีหลักฐาน วิธีการรีดไถ และวิธีการมอบสติ๊กเกอร์ทั้งหมด ซึ่งจะนำมอบให้กับนายวิโรจน์

 

จากนั้นนายอภิชาติได้นำเอกสารที่มีรายละเอียดเกี่ยวบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตในเรื่องนี้มามอบให้นายวิโรจน์อีกด้วย และจะนำมาเปิดเผยต่อสื่อมวลชนเพื่อเผยแพร่ต่อไป

 

ด้านนายวิโรจน์ กล่าวภายหลังการหารือ ว่า เป็นเรื่องที่น่ายินดีมากที่พรรคก้าวไกลได้รับเกียรติจากสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทยที่เป็นสะพาน ซึ่งเกิดจากการรวมตัวกันของประกอบการการขนส่งถึง 10 สมาคม เป็นเกียรติอย่างสูงที่พวกเราได้ทำงานร่วมกัน ทั้งในเรื่องของการกำจัดปัญหาคอร์รัปชั่น ซึ่งเป็นปัญหาที่รุนแรงมาก และจะถูกผลักภาระไปยังภาคสินค้าอุปโภค บริโภคอื่นๆ รวมทั้งทำให้ถนนเสียหาย และเป็นความเสี่ยงของประชาชนผู้ใช้ถนน

 

นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า ตอนนี้ทุกคนคงตั้งเป้าไปที่ตำรวจทางหลวง แต่นอกจากนี้ ยังมีตำรวจภูธร หรือตำรวจในพื้นที่ที่ดูแลการจราจรบางท่านยังมีการกระทำดังกล่าวอยูร ต้องยอมรับว่าเรายังต้องพูดถึงตำรวจภูธรอีก จากที่ประชุมพบว่าตำรวจทางหลวงบางท่านที่เป็นปัญหาก็ได้ยุติไปชั่วคราวแล้ว แต่ในบางพื้นที่ยังพบว่ามีตำรวจภูธรยังชะล่าใจและกระทำอยู่ “ตนขอบอกว่าเลิกเถอะ” และในส่วนของสำนักงานควบคุมน้ำหนักยานพาหนะ ที่มีส่วนเกี่ยวพันด้วยนั้น ตนคงจะไปบอกว่าให้เปลี่ยนทั้งหมดหรือเป็นทุกคนคงไม่ได้ ต้องย้ำว่าปัญหาเป็นที่ระบบ โดยคาดว่าความเสียหายอยู่ในระดับหมื่นล้าน เรื่องการทุจริตนี้ คิดเป็นเพียงร้อยละ 10 ของการทุจริตทั้งหมดในประเทศไทย

 

โดยวาระสำคัญของการประชุม คือการสืบสาวราวเรื่องของเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น โดยเราจะรวบรวมและส่งข้อมูลไปให้กับสำนักงานจเรตำรวจ และนายจรุงเกียรติ ปานแก้ว ผู้บังคับผู้บังคับการกองบังคับ การป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) ที่ได้รับตำแหน่งรักษาการผู้บังคับการตำรวจทางหลวงในขณะนี้

 

นายวิโรจน์ ยังกล่าวอีกว่า การแก้ไขปัญหานี้ยังคงมีเรื่องของกฎระเบียบจุกจิกที่ยังเป็นปัญหาอยู่ การทบทวนการแก้ไขข้อกฎหมายยังเป็นภาระหน้าที่ และการร่วมกันทำงานของพรรคก้าวไกล และสมาพันธ์ฯ ตนทำคิดว่าคงต้องเอาเทคโนโลยีมาใช้อย่างจริงจัง เพราะหากตัดปัญหา เรื่องที่ต้องใช้ดุลพินิจออกไป ปัญหาคอร์รัปชั่นก็จะหมดไปโดยปริยาย และเรื่องสุดท้ายคือเรื่องการยกเลิกการซื้อขายตำแหน่ง และระบบตั๋วของตำรวจ ตนเชื่อว่าถ้าสิ่งนี้หมดไป การแก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่นก็จะยั่งยืน