ผู้ปกครองหวั่นคดีไม่คืบจี้ตำรวจเร่งเอาผิด โจ๋ทำร้ายลูกบาดเจ็บ ชิงทรัพย์หนี ลั่นไม่ต้องการเงิน แต่จะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด
จากกรณีนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนย่านถนนเอกมัย กทม. 2 ราย คือนายเอ (นามสมมุติ) อายุ 17 ปี และนายบี (นามสมมุติ) อายุ 16 ปี ได้ขี่รถจักรยานยนต์จากโรงเรียนเพื่อเดินทางกลับบ้านที่เปรมฤทัย บางนา-ตราด 37 แต่ถูกกลุ่มบุคคลไม่ทราบว่าเป็นใคร ขี่รถจักรยานยนต์ 6 คัน รวม 12 คน ประกบแล้วทำร้ายร่างกาย ทำให้นายเอได้รับบาดเจ็บที่หน้าผาก ต้องทำการเย็บรักษาถึง 7 เข็มและมีรอยถลอก นอกจากนี้กลุ่มผู้ก่อเหตุยังได้มีการลักทรัพสินไปด้วยหลายรายการ ประกอบด้วย กุญแจรถจักรยานยนต์ หูฟังแอร์พอร์ตโปร และกระเป๋าเงินยี่ห้อ COACH
ความคืบหน้าล่าสุดวันนี้ (2 มิ.ย.66) หลังจากได้แจ้งความผ่านมาแล้ว 2 สัปดาห์คดีความยังไม่มีความคืบหน้า ทำให้นายดรัณชาติ ศรีบุบผา ผู้ปกครองของนายเอ ที่ได้รับบาดเจ็บที่หน้าผาก และนางบุศรา ขำดี มารดาของนายบี พร้อมกับนายอนุภาพ อิ่มลิ้มธาร ทนายความ ได้เดินทางมาที่สภ. บางแก้ว ที่สอบถามความคืบหน้ากับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รับผิดชอบ แต่เมื่อเดินทางถึงสภ.พบว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ที่รับผิดชอบเรื่องดังกล่าวติดภารกิจ ทำให้ยังไม่ได้รับทราบถึงความคืบหน้าในการดำเนินคดีในเรื่องนี้แต่อย่างใด
โดยนายเอ เล่าว่า ตนและนายบี ได้ขับรถจักรยานยนต์จากโรงเรียน เพื่อเดินทางกลับบ้านที่เปรมฤทัย บางนา-ตราด 37 ช่วงเวลาประมาณ 4 โมงเย็น ระหว่างเดินทางปรากฎว่ามีกลุ่มวัยรุ่นไม่ทราบว่าเป็นใครได้ขับรถจักรยานยนต์ 6 คัน ซ้อนท้ายคันละ 2 คน รวม 12 คน ได้ขับรถประกบด้านข้างมาถามว่าเรียนที่ไหนพร้อมบอกให้จอดรถ แต่ตนเห็นท่าไม่ดีจึงได้ขี่รถหนีไป แต่รถหนักเพราะขนหนังสือเนื่องจากเปิดเทอมวันแรกจึงขับหนีได้ไม่นาน และจอดรถเพราะเกรงว่าจะถูกถีบรถล้ม ซึ่งบุคคลดังกล่าวได้เข้ามาถามว่าทำไมไม่จอด และได้ชกที่หน้าของตนจนเป็นแผลที่บริเวณหน้าผาก จากนั้นพบว่ามีเพื่อนของบุคคลดังกล่าวตามาสมทบ พร้อมกับชักมีดออกมาข่มขู่ ตนจึงตัดสินใจวิ่งหนีข้ามถนนไปอีกฝากหนึ่ง เจอบ้านคนถึงปืนข้ามกำลังเข้าไปขอความช่วยเหลือในชุมชนเปรมฤทัย บางนา –ตราด 39 หลังก่อเหตุกลุ่มบุคคลดังกล่าวได้หลบหนีไป ทั้งนี้ผู้ปกครอง พร้อมด้วยนายเอและนายบี ได้แจ้งความที่สภ.บางแก้ว เมื่อวันที่ 15 พ.ค. 2566 ที่ผ่านมา
โดยนายดรัณชาติ กล่าวว่า คาดว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการเรียกผู้ต้องหาทั้ง 12 คนมาให้ปากคำแล้ว ทั้งนี้เราได้แจ้งความตั้งแต่วันที่ 15 พ.ค. ผ่านมากว่า 2 สัปดาห์ ยังไม่ได้ทราบความคืบหน้าแต่อย่างใด ซึ่งตนกลัวว่าเรื่องจะเงียบ เราไม่ได้เรียกร้องค่าเสียหาย หรือการเยียวยาอะไร แต่จะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด เนื่องจากลูกของคนอยู่ดีๆ ต้องถูกทำร้าย ซึ่งในเหตุกหารณ์นั้นระหว่างที่ลูกตนวิ่งหลบหนีเกิดอุบัติเหตุรถชนตาย ข้ามกำแพงไปแล้วตกมาขาหัก หรือหากโดนต่อยที่ตาแล้วตาบอดจะทำอย่างไร
อย่างไรก็ตาม หลังเกิดเหตุได้มีผู้ปกครองหนึ่งคนได้ติดต่อมาขอโทษ หากมีอะไรก็ให้ติดต่อประสานมา พร้อมระบุว่าเมื่อลูกตนเองทำผิดก็ต้องได้รับโทษทางกฎหมาย ซึ่งตนยอมรับว่าแค้นแทนลูกมาก เพราะอยู่ดีๆ ลูกตนเองก็มาโดนกระทำแบบนี้ จึงอยากให้เป็นเคสตัวอย่าง อย่าไปทำกับเด็กคนอื่นอีก ถ้าเป็นตาสีตาสาเขาอาจจะเจ็บตัวฟรี ยืนยันจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด ทั้งนี้โรงงเรียนที่ลูกตนศึกษาอยู่เมื่อทราบเรื่อง ผู้อำนวยโรงเรียนฯ การได้ติดต่อมาพร้อมนำกระเช้า พร้อมเงินช่วยเหลือบางส่วนมามอบให้
นางบุศรา ให้ข้อมูลว่า มีผู้ปกครองของคนที่ได้ซ้อนท้ายจักรยานยนต์ไปด้วยระหว่างก่อเหตุ ได้มาพูดว่าจะเอาเรื่องหมดทุกคนไม่ได้ เพราะไม่ได้เป็นคนกระทำ ต้องเอาเรื่องแค่คนที่ทำร้ายร่างกายและคนที่ลักทรัพย์กระเป๋าเงินไป นอกจากนี้ยังพบว่ากลุ่มบุคคลมีเยาวชนอยู่ด้วย สำหรับทรัพย์สินที่หายไป มีหูฟังแอร์พอร์ตโปร กระเป๋าเงินยี่ห้อ COACH บัตรประชาชน และเข็มตราโรงเรียน และกุญแจรถจักรยานยนต์ นอกจากนี้ยังมีการทุบรถจนได้รับความเสียหาย ยืนยันว่าไม่อยากได้เงิน และจะดำเนินทางคดีให้ถึงที่สุด
ทั้งนี้ในส่วนของหลักฐานเชื่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจมีกล้องวงจรปิด ซึ่งเขาไม่ได้ให้ แต่เราได้เห็นภาพดังกล่าวว่ากลุ่มคนนี้รวมตัวกันที่ไหน ยืนยันจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด คาดว่าอาจจะเป็นเรื่องของสถาบัน เพราะมีหลายเหตุการณ์ที่เด็กรร. ผู้ก่อเหตุ ได้มาทำกับเด็กโรงเรียนที่ลูกตนศึกษาอยู่ เป็นสิ่งที่ไม่สมควรที่เด็กต้องมาเจ็บตัว ยิ่งใกล้จะเรียนจบไม่สมควรจะมาถูกกระทำแบบนี้ หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ติดต่อไปยังโรงเรียนของคู่กรณี แต่ทางโรงเรียนปฎิเสธบอกว่าไม่ใช่เด็กในโรงเรียน นอกจากนี้ที่ผ่านมาตนได้โทรสอบถามเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็ได้รับแจ้งว่ายังสอบสวนไม่เสร็จ ต้องใช้สหวิชาชีพมาร่วมสอบด้วย ดังนั้นวันนี้ตนจึงได้เดินทางมาสอบถามด้วยตนเอง
ด้านทนายความ กล่าวถึงกรณีผู้ก่อเหตุเป็นเยาวชนจะสามารถดำเนินคดีเอาผิดได้ในลักษณะใดบ้าง ว่า ตอนนี้เรายังไม่ทราบรายละเอียดที่แน่ชัดว่าแต่ละคนอายุเท่าไหร่ แต่หากผู้ต้องหาเป็นเยาวชนไม่ได้หมายความว่าจะเป็นข้อยกเว้นในการรับผิด หากเป็นเยาวชนก็แยกไปดำเนินคดีในส่วนของเยาวชน แต่ที่ทราบมามีผู้ต้องหาบางที่ที่ไม่ใช่เยาวชนแล้วต้องดำเนินคดีไป ในกรณีนี้ตัวของผู้ทำความผิดมีจำนวนและหลักเกณฑ์และเข้าเงื่อนไขที่เป็นลักษณะเหตุฉกรรจ์และเป็นคดีอาญาแผ่นดิน ไม่สามารถยอมความได้ เพราะเป็นลักษณะร่วมกันทำร้ายร่างกายและชิงทรัพย์เกิน 3 คน และทำให้ผู้ถูกกระทำบาดเจ็บสาหัส มีแผลเป็นติดตัว ตามมาตรา 297 อนุมาตรา 4 อัตราโทษสูงจำคุกตั้งแต่ 12-20 ปี ตามมาตรา 340 วรรค 3 ซึ่งเป็นข้อหาที่รุนแรง แต่ในส่วนของเยาวชนก็จะมีกระบวนการที่แตกต่างไปจากคนที่เป็นผู้ใหญ่ แต่อย่างไรก็ตามจะต้องมีการพูดคุยรายละเอียดกับพนักงานสอบสวนที่ทำคดีนี้อีกครั้ง โดยทางผู้ปกครองได้แจงว่าจะไม่มีการดำเนินคดีกับเยาวชน และเหมือนจะดำเนินการเพียงแค่คนเดียว จะกลายเป็นชิงทรัพย์ธรรมดาหรือไม่ แต่เหตุการณ์นี้เป็นลักษณะแบ่งหน้าที่กันทำ มีการขับรถไล่ล่ากันมา
เจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.บางแก้ว ระบุถึงความคืบหน้าว่า มีการแจ้งความตั้งแต่วันที่เกิดเหตุ ในรายละเอียดตนไม่ทราบ แต่ในพฤติการณ์มีการระบุจำนวนคน และมีการทำร้ายกันในลักษณะอย่างไร ทั้งนี้พบว่าผู้ต้องหามีการมามอบตัวแล้ว แต่ในแนวทางสอบสวนคดี การตั้งข้อกล่าวหาตนไม่ทราบ และไม่ทราบเรื่องอายุ ส่วนความผิดของคนทั่วไปและเยาวชนมีความต่างในอัตราโทษ การสอบสวน การแจ้งข้อกล่าวหาจะมีหน่วยงานอื่นเข้ามาร่วมสอบด้วย และแนวทางการสอบสวนตามระเบียบไม่เกิน 30 วัน อยู่ที่การทำงานของพนักงานสอบสวนแต่ละคนที่จะดำเนินการ