ลูกเขยขับรถขยี้ร่างพ่อตา แฉช่อง 8 ให้ดูควันรถทำคดีพลิก ฉะไม่ถูกฟันคงไม่สู้
กรณีเพจ “ อยากดังเดี๋ยวจัดให้ รีเทริน์ part6” โพสต์เรื่องราว พร้อมกับภาพกล้องวงจรปิดลักษณะเหมือนรถเดินหน้าถอยหลัง แล้วมีคนถูกลากไปกับพื้น พร้อมระบุว่า พ่อตาถูกลูกเขยที่เป็นครอบครัวผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ และเป็นเจ้าของเว็บพนัน ขับรถทับหวังให้เสียชีวิต หลังทั้งสองคนขัดแย้งกันเรื่องภายในครอบครัว เหตุเกิดบริเวณซอยจอมทองบูรณะ แขวงบางมด เขตจอมทอง กรุงเทพมหานคร
ทีมข่าวช่อง 8 เดินทางไปเจอกับนายวุฒิ (นามสมมติ) อายุ 53 ปี ผู้บาดเจ็บ เจ้าตัวได้มีการเปิดบาดแผลตามตัวให้ทีมข่าวดู ซึ่งเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 3 มิ.ย. ที่ผ่านมา ตามเวลาที่กล้องวงจรปิดจับภาพเอาไว้ได้ คือ 15.05 น. โดยหลังเกิดเหตุตามที่ปรากฏในภาพกล้องวงจรปิด นายวุฒิซึ่งมีศักดิ์เป็นพ่อตาของนายเฟรมที่เป็นคนขับรถสีขาวในกล้องวงจรปิด มีสภาพแผลถลอกปอกเปิกตามตัว โดยเฉพาะมีแผลที่แผ่นหลัง เป็นลักษณะแผลสด มีผ้าก๊อซผิดแผลเอาไว้ แล้วยังมีร่องรอยของแผลที่เป็นลักษณะคล้ายรอยขีดข่วนอยู่ที่ชายโครงฝั่งขวา แล้วยังมีแผลที่ขาขวาและนิ้วเท้าขวา ซึ่งเจ้าตัวก็โชว์สภาพแผลให้ทีมข่าวดู บอกว่าเป็นผลพวงที่ถูกลูกเขยคือนายเฟรมถอยรถและหวังจะพุ่งชนจนกระทั่งได้รับบาดเจ็บ
จากนั้นตัวของนายวุฒิซึ่งเป็นพ่อตา ยังได้เดินไปที่ข้างรถและมีลักษณะจำลองที่เกิดเหตุให้ดู บอกว่าในวันนั้นตนเองตั้งใจที่จะเข้าไปเคลียร์ใจกับลูกเขย แต่ลูกเขยไม่ยอมลงจากรถ จึงได้เอาอาวุธมีดมาทุบกระจกรถลูกเขย และลูกเขยก็ได้มีการเร่งเครื่องหวังจะชน จนเป็นเหตุทำให้มีดที่ทุบกระจกรถหลุดออกจากมือ ตนเองจึงเปิดประตูฝั่งคนขับเพื่อที่จะให้ลูกเขยลงมาคุยด้วย แต่เจ้าตัวมีลักษณะเร่งเครื่องเดินหน้าถอยหลัง จนทำให้ร่างของตนเองไปเกี่ยวโดนประตูรถ และถูกลากไปกับพื้น ทำให้แผ่นหลังของตนเองได้รับบาดเจ็บ จากนั้นตัวของลูกเขยก็มีการเดินหน้าถอยหลังซ้ำ ตนเองจึงมองว่าเป็นเจตนาฆ่า
นายวุฒิ พ่อตา เปิดเผยว่า จากเหตุการณ์ในวันดังกล่าวที่ตนเอง ตั้งใจจะเคลียร์ปัญหากับลูกเขย เป็นเพราะว่าเหตุการณ์เมื่อวันพฤหัสบดี ที่ 1 มิ.ย. ตัวของลูกเขยได้มีการก่อเหตุทำร้ายร่างกายลูกชายคนเล็ก และทำร้ายร่างกายลูกสาวของตนเองซึ่งเป็นภรรยาของเขย โดยไม่มีเหตุอะไร ซึ่งเจ้าตัวอยู่ในอาการเมา แต่เข้าไปทำร้ายร่างกายพร้อมกับทำลายข้าวของในบ้าน ตนเองจึงเรียกให้มาคุยเพื่อที่จะเคลียร์ปัญหากัน จึงเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น เพราะเคลียร์ใจกันไม่ได้ ลูกเขยขึ้นรถ ไม่ยอมคุย ตนเองก็เดินไปพร้อมกับอาวุธมีดเพื่อที่จะบอกให้ลงมา จึงเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว เรื่องของอาวุธมีดยอมรับว่าตนเองเตรียมไปจริง แต่เอาไปเพื่อที่ให้ลงมาจากรถ แล้วมาคุยกันด้วยดี แต่เมื่อลูกเขยมีลักษณะเร่งเครื่องเดินหน้าถอยหลังหวังจะชน ตนเองจึงใช้มีดฟาดไปที่กระจกด้านหน้าจนกระทั่งแตก ก่อนที่จะถูกรถเกี่ยวร่างแล้วเดินหน้าถอยหลังจนบาดเจ็บ ซึ่งตนเองก็มองว่าเป็นการกระทำที่หวังจะเอาชีวิตตนเองเหมือนกัน
เหตุผลที่ตนเองอยากจะนัดลูกเขยมาเคลียร์ เพราะเป็นเรื่องที่มาทำลายข้าวของและทำร้ายคนในบ้าน โดยเหตุเกิดเมื่อวันที่ 1 มิ.ย. แต่สงสัยว่าทำไมปล่อยให้ผ่านไปหลายวันก็ไม่ยอมทักหรือโทร หรือเข้ามาเคลียร์กับตนเอง ทั้งที่เข้ามาก่อเหตุกับคนในบ้าน เพราะโดยปกติเข้าใจว่าเวลาเมา หรือเข้ามาส่งเสียงดังในบ้าน เมื่อมีสติกลับคืนมาก็มักจะมาขอโทษตนเองเกือบทุกครั้ง แต่เหตุการณ์ครั้งนี้ทำไมถึงไม่ยอมมาขอโทษ จึงทำให้ตนเองตัดสินใจที่จะเรียกมาเคลียร์ แล้วเกิดเรื่องขึ้นตามคลิปวงจรปิด
หากย้อนกลับไป ก่อนหน้านี้ตนเองกับลูกเขยก็เคยมีปัญหากัน แต่นานมาแล้วเกือบ 5 ปี ลูกเขยเมาเข้ามาทะเลาะตนเองและชกต่อยตนเอง จนทำให้ตนเองไม่คุยกับลูกเขยไประยะหนึ่ง แต่สุดท้ายลูกเขยก็เห็นแก่หลานจึงได้เข้ามาขอขมาและขอโทษตนเอง จากนั้นก็อยู่ร่วมกันมาได้ตามปกติไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ขึ้นครั้งนี้อีกครั้ง จึงทำให้ต่างฝ่ายต่างต้องไปแจ้งความเอาผิดกันและกัน
แต่ฝั่งของลูกเขยไปแจ้งความในข้อหาพยายามฆ่าซึ่งตำรวจช่วยรับแจ้งความ แต่ในทางกลับกัน ตนเองแจ้งความกลับว่าลูกเขยก็มีเจตนาพยายามฆ่า เพราะเนื่องจากจะขับรถพุ่งชนเหมือนกัน ตำรวจไม่รับแจ้งเพราะอ้างว่ายังไม่มีหลักฐาน จนตนเองต้องติดต่อกับสื่อแล้วมีการเปิดโฟนให้ตำรวจ จนสุดท้ายตำรวจก็รับแจ้งความในฝั่งของตนเองด้วย จึงทำให้ต่างฝ่ายต่างแจ้งความซึ่งกันและกัน
และหลังเกิดเหตุ ทำให้ตนเองกับลูกเขยไม่สามารถที่จะเผชิญหน้ากันได้ ที่สำคัญตนเองต้องย้ายหนีออกมาอยู่ที่อื่น ทิ้งลูกเมียเอาไว้ที่บ้านฝั่งของลูกเขย ทั้งที่ก็เป็นเงินฝั่งของตนเองที่ช่วยกันสร้างบ้าน แต่อยู่บ้านไม่ได้เพราะกลัวเรื่องความปลอดภัย ฝั่งของครอบครัวฝ่ายชายเป็นผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ หากอยู่ก็กลัวว่าจะถูกทำร้าย และในวันนี้ตนเองอยากจะให้ตำรวจหรือซื้อเข้าไปตรวจสอบเกี่ยวกับธุรกิจสีเทา ซึ่งการที่ตนเองเปิดโปงเรื่องนี้ก็ไม่ได้มีส่วนได้เสียหรือผลประโยชน์อะไร เพราะเป็นธุรกิจฝั่งของลูกเขย แต่ต้องพูดเพราะเรื่องของความปลอดภัยของตนเองมากกว่า
อย่างไรก็ตาม นายวุฒิ บอกอีกว่า การที่ตนเองย้ายหนีออกมาเพียงคนเดียวเพราะเนื่องจากเป็นคู่กรณีโดยตรงกับเขย และดันมาเปิดโปงเรื่องธุรกิจที่บ้านเขย รวมถึงความมีอิทธิพล จึงทำให้อยู่ที่บ้านไม่ได้ แต่ก็ยังทิ้งลูก หลาน 2 คน และเมียเอาไว้ที่นั่น ประกอบกับเป็นที่ดินของฝั่งเขยจึงกลัวเรื่องอันตราย ซึ่งไม่รู้ว่าจะมีการทำร้ายคนในบ้านตนเองหรือไม่
ขณะเดียวกัน ทีมข่าวได้เจอกับนางสาวมะลิ (นามสมมติ) อายุ33ปี ภรรยาของนายเฟรมในฐานะลูกสาวของนายวุฒิ เจ้าตัวให้สัมภาษณ์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด โดยเปิดเผยว่า ตนเองถูกกระแสสังคมโจมตีอย่างหนัก ซึ่งกล่าวหาว่าตนเองเข้าข้างสามีแต่ไม่ช่วยเหลือฝั่งพ่อ ทั้งที่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตนเองก็ยืนยันความบริสุทธิ์ใจว่าอยู่ตรงกลาง เพราะเข้าใจว่าเป็นปัญหาครอบครัวสามารถที่จะเคลียร์กันได้ แต่สุดท้ายต่างฝ่ายต่างแจ้งความเอาผิดกัน พ่อตาแจ้งความเอาผิดลูกเขย ลูกเขยแจ้งความเอาผิดพ่อตา ซึ่งกลายเป็นเรื่องบานปลายใหญ่โต จนทำให้พ่อตาไม่สามารถที่จะอยู่ในบ้านย้ายไปที่อีก ส่วนเขยซึ่งเป็นสามีของตนเองก็กลับไปอยู่บ้าน ดังนั้นเรื่องราวที่เกิดขึ้นตนเองยืนยันว่า “ขออยู่ตรงกลาง ไม่เข้าข้างหรือไม่เป็นพยานให้กับใคร ถ้าหากมีการแจ้งความเอาผิดกันก็ให้ว่าตามกฏหมาย ใครผิดใครถูกก็ไปสู้กันเอาเอง ตนเองยังรักพ่อเหมือนเดิม และยังรักในตัวของสามีที่เป็นพ่อของลูก ไม่ขอเอียงหรือเข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ใครผิดก็ไปว่าตามกฏหมาย”
และจากเหตุการณ์ที่มีการนำเสนอข่าวจนกระทั่งบานปลายใหญ่โต ทั้งลงในโซเชียลและมีสื่อมาติดตามความคืบหน้า ทำให้ตัวของนายเฟรมสามี ติดต่อมาให้พาลูกไปอยู่ด้วยที่บ้าน ทิ้งให้แม่และพ่อตารวมถึงน้องชายอยู่ที่อื่น หรือให้ย้ายออกไปจากบ้านที่อยู่ปัจจุบันภายในสามวัน ซึ่งตนเองก็มองว่าเป็นเรื่องที่ครอบครัวแตกแยกขั้นรุนแรง แล้วตนเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการยื่นคำขาดของนายเฟรมสามี จะให้แม่หรือน้องชายไปอยู่ที่ไหน เพราะทั้งหมดก็คือครอบครัวของตนเอง ดังนั้นตนเองจึงให้คำตอบนายเฟรมว่าอยากจะอยู่บ้านที่เดิม แต่ส่วนพ่อแม่ตัวเองก็ต้องแก้ไขปัญหาโดยไปเช่าให้อยู่ที่อื่นไปก่อน เพราะตนเองไม่ได้มีปัญหาอะไรกับนายเฟรม แต่กลับกลายบานปลายไปกระทบคนในครอบครัวมากกว่า และยืนยันว่าตัวเองจะดูแลเลี้ยงลูกตามปกติ เพราะไม่ได้มีปัญหาอะไรกับนายเฟรม
สำหรับสาเหตุที่เกิดขึ้น ก่อนที่พ่อกับนายเฟรมจะมาเผชิญหน้ากัน เกิดจากน้องชายของตนเองเผลอสูบบุหรี่ในบ้าน นายเฟรมกลับบ้านมาพร้อมกับอาการมึนเมา เข้าไปตบหน้าสั่งสอน ซึ่งเรื่องนี้ก็เข้าใจว่าน้องชายของตนเองผิดที่สูบบุหรี่ในบ้าน แต่หลังจากที่นายเฟรมไปตบหน้าน้องชาย ส่วนตัวก็ได้ทะเลาะกับนายเฟรมซึ่งเป็นปัญหาในครอบครัวทำนองว่าไปตบหน้าน้องทำไม แล้วนายเฟรมก็เลยหันมาทะเลาะกับตนเอง พ่อเค้ามาเห็นว่านายเฟรมทำร้ายตนเองและทำร้ายน้อง จึงทำให้เกิดเรื่องที่ต้องนัดเคลียร์ใจกัน แต่ก็ไม่คิดว่าจะเครื่องแค่นั้นจะกลายเป็นบานปลายถึงขั้นแจ้งความและทำร้ายร่างกายกันไปมา
แต่ส่วนเรื่องกรณีที่พ่อไปให้ข้อมูลกับทีมข่าวเกี่ยวกับธุรกิจฝั่งของฝ่ายชาย ส่วนตัวขอไม่ยุ่ง เพราะเนื่องจากเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับตนเอง และไม่ได้รู้เห็น ทำหน้าที่แค่เลี้ยงลูกและทำงานตามปกติ ฉะนั้นจึงไม่อยากเอาเรื่องอื่นมาขยายแล้วทำให้กระทบครอบครัวไปมากกว่านี้
ทีมข่าวได้พยามติดต่อไปหานายเฟรม เจ้าตัวยืนยันว่าจะไม่ขอให้สัมภาษณ์และไม่อนุญาตให้มีการบันทึกเสียง พร้อมที่จะแจ้งความดำเนินคดีกับสื่อบางสำนักที่เอาเสียงตนเองไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต เพราะส่วนตัวขอไม่ชี้แจงอะไร เนื่องจากคลิปดังกล่าวก็เห็นประจักษ์ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น ฉะนั้นจึงให้ว่าไปตามกระบวนการของกฎหมาย และสู้คดีตามกระบวนการเนื่องจากมีการตั้งทนายความแล้ว โดยเจ้าตัวให้ข้อมูลสั้นๆ ว่า “ให้ไปย้อนดูคลิปว่าจะเห็นว่าการถอยรถนั้นมีลักษณะกลุ่มควันเกิดขึ้น เพราะตนเองเห็นว่าพ่อตา ถืออาวุธมีดออกมาพร้อมกับทุบกระจกรถ จึงได้เร่งเครื่องเพื่อที่จะถอยหนี ฉะนั้นให้ดูว่าเจตนาจะชนหรือเจตนาเลี่ยงเผชิญหน้ากันแน่ ส่วนเรื่องอื่นขอไม่ตอบใครพูดอะไรมาก็เตรียมที่จะรวบรวมพยานหลักฐานเอาผิดในสิ่งที่ไม่ใช่ข้อเท็จจริง”