หนุ่มลาวเป็นแพะติดคุกฟรีปีครึ่ง ซ้ำรถ 3 แสนถูกชิงขายทอดตลาด จี้ ป.ป.ส. ตอบ
นายไหม ชาว สปป.ลาว เดินทางมาจากลาวเพื่อพบทนายรัชพล ศิริสาคร เนื่องจากเคยถูกจับยาเสพติด พร้อมรถยนต์ยี่ห้อเชอรี่ มูลค่า 350,000 บาท เป็นของกลาง ระหว่างพิจารณาต้องอยู่ในคุกไม่ได้ประกันตัว ต่อมาศาลชั้นต้นยกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง และให้คืนรถยนต์ คดีถึงที่สุด แต่เมื่อออกมาจากคุกจึงมาถามหารถยนต์คันดังกล่าว สำนักงาน ป.ป.ส. แจ้งว่า รถยนต์ขายทอดตลาดไปแล้ว ได้เงินมา 20,000 บาท นายไหมรู้สึกว่าตนไม่ได้ทำผิด ทำไมต้องสูญเสียทรัพย์สินไม่มีใครรับผิดชอบ และได้รับความเสียหาย จึงมาขอปรึกษาทางคดี
ทนายรัชพล เปิดเผยว่า ตามที่มีนายไหม ต้องคดียาเสพติด แต่ปรากฏว่าศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายกฟ้อง แล้วเจ้าตัวก็กลายเป็นผู้บริสุทธิ์ตามกระบวนการของกฎหมาย และกระบวนการในชั้นศาล แต่ระหว่างที่เจ้าตัวกำลังจะได้รับการปล่อยตัว ช่วงที่อยู่ในการฝากขังของศาลอุทธรณ์ ทราบว่ารถยี่ห้อเชอรี่ ซึ่งเป็นรถที่ถูกอายัดเอาไว้ ยังคงจอดทิ้งเอาไว้ที่เก็บของกลางตำรวจ ภายหลังเจ้าตัวออกจากเรือนจำจะไปติดต่อขอรับรถคืน เพราะถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์และรถไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไร ปรากฏว่ารถนั้นถูกขายไปในราคา 20,000 บาท ซึ่งเจ้าหน้าที่อ้างว่าเป็นการขายทอดตลาด แต่ตามหลักแล้วรถคันดังกล่าวนั้นมีการประเมินมูลค่ารถอยู่ที่ 200,000 บาท ฉะนั้นจึงเชื่อว่ากระบวนการขายทอดตลาดอาจจะมีผู้ที่กระทำผิดหรือทุจริตหรือไม่
ตัวของชายชาวลาวได้มาขอความช่วยเหลือ โดยเบื้องต้นเตรียมที่จะพาไปที่กระทรวงยุติธรรม ก่อนที่จะพาไปที่สถานทูตลาวประจำประเทศไทย ในการร้องขอความช่วยเหลือและติดตามความคืบหน้า โดยเบื้องต้นจะไปรับฟังคำตอบจากกระทรวงยุติธรรม เกี่ยวกับกระบวนการขายทอดตลาด เพราะตามข้อกฎหมายแล้ว ศาลยังไม่ได้มีคำสั่งว่าบุคคลที่เกี่ยวข้องนั้นเป็นผู้ต้องหาหรือไม่ หรือมีความผิดอย่างไร ก็ไม่สามารถที่จะนำทรัพย์สินเหล่านั้นไปขายทอดตลาดได้ แต่ในเมื่อมีการเร่งรัดหรือการเร่งขาย ก็จะต้องมีการเข้าไปสอบถามและรอคำตอบจากกระทรวงยุติธรรม จากนั้นก็จะมีกระบวนการในการตรวจสอบหรือดูขั้นตอนและระเบียบหลังจากนี้ต่อไป
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าผู้เสียหายจะไม่ใช่พลเมืองของประเทศไทย แต่ก็ต้องได้รับความเป็นธรรมในฐานะที่เข้ามาในประเทศ เพราะอย่างน้อยก็มีตัวแทนจากสถานทูตลาวประจำประเทศไทยที่จะร่วมปกป้องสิทธิ์ และส่วนตัวก็จะดูแลให้ในฐานะที่เข้ามาปรึกษาด้านทนายความ ซึ่งเรื่องนี้ยังคงยืนยันว่ามีอะไรไม่โปร่งใสนี่หลายเรื่อง โดยเฉพาะกลุ่มเจ้าหน้าที่และบุคคลที่เกี่ยวข้องในการเร่งรัดการขายทอดตลาด
ด้านนายไหม ผู้เสียหาย เปิดใจกับทีมข่าวช่อง 8 ว่า ตนเองยอมรับว่าก่อนหน้านี้เคยต้องคดีพัวพันเกี่ยวกับยาเสพติด แต่เพียงแค่ถูกกล่าวหาเพราะเนื่องจากมีการสืบสาวเกี่ยวกับกระบวนการสั่งซื้อ แต่ตนเองไม่ได้เกี่ยวข้องทั้งการซื้อและการขาย จึงทำให้มีการยกฟ้องทั้งในศาลชั้นต้นและอุทธรณ์ โดยเข้าไปติดคุกประมาณ 1 ปี 6 เดือน ซึ่งพ้นโทษออกมาเมื่อธันวาคม 2562 จากนั้นก่อนที่ตนเองจะเดินทางกลับ สปป.ลาว ได้แวะไปที่เก็บของกลาง สภ. เมืองอุดรธานี ที่มีการจับกุมตนเอง โดยรถยี่ห้อเชอรี่ที่ถูกอายัดเอาไว้ยังจอดอยู่ที่เดิม ตนเองจึงได้มีการดำเนินการและเดินเรื่องเพื่อที่จะขอรถคืนหลังจากที่ผลคดีและกลายเป็นผู้บริสุทธิ์ ซึ่งระหว่างที่มีการขอทำเอกสารทางการไทย เกี่ยวกับใบบริสุทธิ์ เพื่อที่จะไปขอรถคืน ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีการเก็บของกลางอ้างว่ารถถูกขายทอดตลาดไปแล้ว และให้ตนเองไปติดต่อกลับปปส. ดินแดง ตนเองก็เดินทางมาที่กรุงเทพ เมื่อมาติดต่อแล้วปรากฏว่าโยนไปให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็ตามเรื่องต่อ แต่สุดท้ายได้รับคำตอบว่ารถถูกขายทอดตลาดตามกระบวนการ ซึ่งขายในราคา 200,000บาท แต่ตนเองได้ยืนยันว่าตนเองไม่ได้มีการทำผิดและไม่ได้เกี่ยวข้องกับคดีใดๆ ทางด้านของ ปปส. จึงได้มีการออกเช็คให้ตนเอง 1 ใบ ซึ่งอ้างว่าจะมีการคืนเป็นค่ารถตามที่มีการขายทอดตลาดตามจริง แต่ทันทีที่ตนเองเห็นเช็ค ปรากฏว่ามีการระบุจำนวนเงินเพียงแค่ 20,000 บาท ตัวเองเห็นว่าไม่ตรงตามที่มีการคุยกันตั้งแต่แรก จึงไม่ได้มีการรับเช็ค และเมื่อถามอีกครั้งว่ารถขายในราคาเท่าไหร่ หน่วยงานดังกล่าวอ้างว่าขายเพียงแค่ 20,000 บาท ตนเองจึงอยากได้รับคำตอบและความเป็นธรรม ว่าทำไมต้องมีการเร่งในการขาย และทำไมการขายทอดตลาดถึงขายเพียงแค่ราคาเท่านั้น
ส่วนตัวแม้ว่าจะไม่ใช่พลเมืองของไทย แต่ในเมื่อหน่วยงานของไทยมีการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องของตนเอง ทั้งมีการจับและแจ้งข้อหาในคดียาเสพติดจนตนเองกลายเป็นผู้บริสุทธิ์ เรื่องนี้ตนเองไม่ติดใจเพราะถือว่าจบแล้ว แต่เรื่องที่ตนเองติดใจมากที่สุดก็คือเรื่องทรัพย์สิน เพราะในคำสั่งศาลหลังจากที่ตนเองเป็นผู้บริสุทธิ์ ก็มีคำสั่งให้คืนทรัพย์สิน อาทิ แว่นตาเรย์แบน มือถือ และของใช้บางส่วน แต่หนึ่งในนั้นก็คือเรื่องของรถยี่ห้อเชอรี่ของตนเอง ปรากฏว่า ของทั้งหมดไม่มีอะไรได้คืน ซึ่งตนเองก็ไม่ติดใจเรื่องของมือถือหรือแว่นตา แต่ยังคงติดใจมากที่สุดก็คือเรื่องของรถ ที่ตนเองสามารถใช้ทำมาหากินได้ต่อ แต่ในเมื่อมีการขายหรือเร่งขายตนเองก็อยากได้คำตอบจากกระทรวงยุติธรรมของไทยเช่นกัน