"พิธา" พร้อมสู่คดีไอทีวี เชื่อถูกสกัดทางนายกฯ "สมชัย" ชี้โอนหุ้นเป็นดาบสองคม
ยังเป็นประเด็นที่ถูกจับตามองอย่างมากกร๊ปมหุ้นไอทีวี ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล
ที่ล่าสุด นายพิธา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กใจความโดยรวมระบุว่า พร้อมสู้กับความพยายามคืนชีพไอทีวี เพื่อสกัดกั้นพวกเรา ตามที่ทราบกันดีว่าตั้งแต่ 7 มีนาคม 2550 สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีแจ้งบอกเลิกสัญญาเข้าร่วมงาน และดำเนินการสถานีวิทยุโทรทัศน์ต่อบริษัทไอทีวีจำกัด(มหาชน) ส่งผลทำให้สัญญาร่วมงานสิ้นสุดลง
ในรายงานการประชุมผู้ถือหุ้นไอทีวี เมื่อวันที่ 26 เม.ย.2566 การตั้งคำถาม จากผู้ถือหุ้นบางรายว่าบริษัทไอทีวีมีการดำเนินการเกี่ยวกับสื่อหรือไม่ โดยตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการตั้งคำถามที่ขอให้ทุกท่านที่มีใจเป็นธรรมพิจารณาว่ามีความมุ่งหมายทางการเมืองหรือไม่ และให้ตอบตัวท่านเองว่า คือพฤติการณ์ความพยายามฟื้นคืนชีพ ITVกลับมาเป็นสื่อมวลชนใช่หรือไม่
ผมมีความมั่นใจว่า ก่อนที่ผมจะดำเนินการโอนหุ้นITVนั้น บริษัท ITV ไม่ได้ประกอบกิจการสื่อมวลชนใดๆ ผมมั่นใจข้อเท็จจริงในอดีต แต่ข้อเท้จจริงที่จะเกิดขึ้นต่อไปนี้ ผมไม่อาจคาดหมายได้ว่าบริษัทITV อาจจะถูกทำให้ฟื้นคืนชีพเป็นสื่อมวลชนอีกครั้งหรือไม่
การโอนหุ้นให้แก่ทายาทอื่นจึงเกิดขึ้นไม่ใช่เป็นการโอนหุ้น เพราะหลีกหนีความผิด แต่อย่างใด กระบวนการถัดจากนี้ ผมขอยืนยันทุกท่านว่า ผมมีความพร้อมอย่างเต็มที่ในการชี้แจงต่อ กกต.ไม่มีความเป็นห่วงหรือกังวล ใด ๆต่อกรณีนี้ และจะไม่เสียสมาธิในการทำงานเด็ดขาด
โดยวันนี้ นายพิธา ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ โดยระบุว่ามีการโอนหุ้นดังกล่าวเมื่อช่วงปลายเดือนที่ผ่านมา โดยขอย้ำ ไม่ใช่เป็นการขาย แต่เป็นการโอนให้ทายาท สาเหตุเพราะที่ผ่านมาตนมั่นใจในข้อกฎหมายแต่ในอนาคตมีความเป็นไปได้ที่จะมีความพยายามที่จะฟื้นคืนชีพไอทีวีขึ้นมา ซึ่งหากมีการฟื้นฟูไอทีวีขึ้นมาจริงไม่ว่าด้วยเหตุผลใด ตนจึงตัดสินใจโอนหุ้นให้ทายาท
พร้อมกันนี้ นายพิธา บอกกว่า ตอนนี้มีหลายคนพยายามสกัดตนออกจากการเมือง ยอมรับว่ามีความกังวล เพราะอดีตกับอนาคตไม่เหมือนกัน แต่อนาคตมีความไม่แน่นอน ดังนั้นต้องมีความแน่นอนเพื่อให้ตั้งรัฐบาลให้ได้
ขณะที่ นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตคณะกรรมการการเลือกตั้ง กล่าวถึงกรณีนี้ว่า เรื่องการถือหุ้นสื่อถึงแม้จะมีการโอนออกไปแล้ว อาจจะเป็นไปในแง่ยอมรับผิดหรือไม่ ประมาท อาจจะไว้ในสถานการณ์มากเกินไป แต่ทางสู้ทางเดียวของนายพิธา คือดูตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ สุดท้ายต้องมีสติและอย่าใช้มวลชนอย่างเดียว
นอกจากนี้ นายสมชัย ยังมองว่า เหตุการณ์ครั้งนี้ อาจจะเป็นผลเชิงลบ เพราะมีการโจมตีว่านายพิธา รู้สึกว่าไม่ถูกต้องอาจกลายเป็นข้อกล่าวหา หรือครหาและกล่าวอ้างของอีกฝ่าย ที่เห็นตรงข้ามว่าถ้าไม่ผิดจะเอาออกทำไม
ส่วนที่นายพิธาระบุว่ามีกระบวนการฟื้นคืนชีพITV ให้เป็นสื่อ นายสมชัยระบุว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นในอนาคต ศาลจะตัดสินอย่างไรยังไม่ทราบ แต่การตัดสินของศาลไม่ได้มีผลให้การสมัครในวันที่ 4 เมษายนเปลี่ยนแปลงไป ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันสิ่งที่สำคัญคือการตีความว่าวันที่ 4 เมษายน ITV เป็นสื่อหรือไม่