พิธาไม่รอด! นักวิชาการฟันธงถือหุ้นสื่อผิดตั้งแต่สมัคร ส.ส.
ยังเป็นประเด็นร้อนกรณีที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล ถือหุ้นไอทีวี และมีการโอนย้ายไปเมื่อช่วงปลายเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา
โดยมีการแสดงความคิดเห็นกันหลากหลาย ทั้ง นายไพศาล พืชมงคล อดีตกรรมการผู้ช่วย รองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ที่เชื่อว่านายพิธาไม่น่าจะมีความผิด เพราะการโอนหุ้น นายพิธาเป็นผู้จัดการมรดกไม่ได้เป็นเจ้าของ ซึ่งการโอนหุ้นไปให้แก่ทายาทมันจะมีผลทายาทเป็นคนละหุ้นไม่ใช่ของนายพิธา
แต่ในขณะเดียวกัน มีนักวิชาการบางคน มองว่า การกระทำของนายพิธา ความผิดสำเร็จแล้ว
โดยขณะนี้ กกต.ยังไม่ได้รับคำร้อง ให้ชุดเล็กพิจารณาก่อน ก่อนจะส่งให้ชุดใหญ่พิจารณาว่ารับหรือไม่รับ และต้องส่งไปศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่
ล่าสุดนายคมสัน โพธิ์คง อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวถึงการถึงครองหุ้น ITV ของนายพิธา มีอยู่ 2 ฐานะคือในฐานะทายาท กับผู้จัดการมรดกตามคำสั่งศาล ดังนั้น เมื่อวันที่คุณพิธาถือหุ้นดังกล่าวอยู่ มันจะเกิดคำถามว่า คุณพิธา มีส่วนที่จะได้รับหุ้นนี้ด้วยหรือไม่ เพราะคุณถือว่าเป็นทายาทคนหนึ่ง แต่จะได้รับมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับสัดส่วนของทายาท เพราะตามกฎหมายทรัพย์มรดก ถือว่ามันตกต่อทายาท นับตั้งแต่วันที่เจ้าของมรดกตาย
"เคสของคุณพิธาไม่ได้แสดงอะไรเลยที่ทำให้หายสงสัย ว่ามีชื่อของคุณพิธาถือหุ้นในฐานะอะไร ผู้จัดการมรดกหรือในฐานะของ ของเจ้าของหรือในฐานะทายาทที่ได้รับการแบ่งมรดก นี่คือประเด็นปัญหา แต่ว่าทั้ง 2 ประเด็น มันก็เป็นผลทำให้คุณพิธา สู้ในศาลยากมาก เพราะไม่ว่าจะในฐานะอะไรก็แล้วแต่ในวันที่สมัครรับเลือกตั้ง คุณมีชื่ออยู่ยังไงคุณก็อยู่ในฐานะทายาทอยู่ดี เพียงแต่ว่าคุณได้แค่ไหนเป็นเรื่องที่ต้องตกลงกับทายาทคนอื่น"นายคมสัน ระบุ
ส่วนนายพิธา กล่าวยืนยันในเรื่องเอกสารโอนหุ้นว่า มีเอกสารยืนยันหรือไม่ ว่า เป็นแค่ผู้จัดการมรดก นายพิธา กล่าวว่า แน่นอน ย้ำว่าตนเป็นแค่ผู้จัดการมรดกอย่างเดียว ไม่ได้รับโอนด้วย
เมื่อถามว่า มองว่าใครอยู่เบื้องหลังฟื้นคืนชีพไอทีวี นายพิธา กล่าวว่า ตนไม่ทราบ แต่ต้องพูดให้ชัด ว่า ไม่ว่าจะมีความพยายามฟื้นคืนชีพด้วยเหตุผลทางธุรกิจ รวมถึงต้องการสกัดกั้นตนออกจากทางการเมือง ก็ไม่ได้มีปัญหา แต่ความน่าจะเป็นยังมีอยู่ในอนาคต ทำให้ต้องบริหารจัดการความเสี่ยง แต่ต้องย้ำว่า ในอดีตที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นหลักฐาน หรือคำตัดสินทางกฎหมาย ตนคิดว่าไม่มีปัญหาจัดตั้งรัฐบาล
นายพิธา ย้ำอีกว่า ยังต้องรอ กกต.เรื่องหุ้นสื่อ ตนมีคำตอบอยู่แล้ว
ด้านนายศรีสุวรรณ จรรยาเลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ยื่นคำร้องต่อสำนักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กรมควบคุมโรค เพื่อเอาผิดนายพิธา หลังจากเจ้าตัวไปออกรายการกรรมการข่าว“คุยนอกจอ” ทางช่องยูทูป ซึ่งในการให้สัมภาษณ์ นายพิธากล่าวตอนหนึ่งถึงนโยบายสุราก้าวหน้า และรสนิยมการดื่มของตัวเอง พร้อมกับเปิดเผยชื่อยี่ห้อและเชียร์สุราชุมชนที่ตัวเองดื่มหลายชื่อ อันเข้าข่ายเป็นการโฆษณา ต้องห้ามตามกฎหมาย
และวันนี้ ที่ ศูนย์รับแจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ภาคีกลุ่มราชภักดี ประกอบด้วย นายทรงชัย เนียมหอม ประธานกลุ่มประชาภักดิ์พิทักษ์สถาบัน (ปภส) นายธนเดช ตุลยลักษณะ ผู้ช่วยหัวหน้ากลุ่มอาชีวะราชภักดี
นายอร่ามศักดิ์ บุตรจู ผู้ก่อตั้งและแอดมินเพจรู้ทันโลกออนไลน์ นางแน่งน้อย อัศวกิตติกร ประธานศูนย์พลเมืองดิจิทัล เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.ศุภภัทร สวัสดี รองผกก.(สอบสวน) กก.3 บก.ปอท.แจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีกับนายพิธา ประเด็นให้สัมภาษณ์ BBC THAI ไทย เมื่อวันที่ 30 พ.ค. ที่ผ่านมา เพื่อตรวจสอบเข้าข่ายความผิดม.112 และ ความผิด พ.ร.บ.คอมพ์ฯหรือไม่
นอกจากนี้ ที่ประชุม กกต.มีมติสั่งให้นับคะแนน 47 หน่วย ทั้ง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อและนับคะแนน ส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้งจากการลงคะแนนการเลือกตั้งทั้งหมด 95,000 หน่วย เนื่องจากพบว่ามีปัญหาบัตรออกเสียงเลือกตั้งและจำนวนผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งมีจำนวนตรงกัน แต่ผลคะแนนที่ออกมาไม่ตรงกับจำนวนดังกล่าว และ กกต.เห็นว่าอาจมีผลต่อจำนวนคะแนนเสียงที่แต่ละพรรคการเมืองได้รับ และมีผลต่อลำดับของผู้ได้รับเลือกตั้ง โดยตามแผนของสำนักงานฯ ต้องการให้นับคะแนนใหม่ในวันอาทิตย์ที่ 11 มิ.ย.นี้