"เรืองไกร" สวนหลักฐาน "ฐปณีย์" ไม่ช่วยพิธา เย้ยอ่อนหัดกฎหมาย แฉจุดพิฆาตพ้นนายกฯ
จากรณีรายการข่าว 3 มิติ ได้มีการเปิดคลิปวิดีโอการประชุมผู้ถือหุ้นไอทีวี ซึ่งได้รับข้อมูลมาจากหนึ่งในผู้ถือหุ้นไอทีวี ที่เข้าร่วมประชุมสามัญประจำปี ผู้ถือหุ้นไอทีวี เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2566 เพื่อให้ตรวจสอบว่า บันทึกการประชุมที่มีการเผยแพร่เป็นเอกสาร ไม่ตรงกับการประชุมที่มีการถ่ายทอดผ่านอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีการบันทึกเป็นคลิปวีดีโอไว้
ฐปณีย์ เอียดศรีไชย ผู้สื่อข่าว 3 มิติ กล่าวว่า คำตอบที่บันทึกอิเล็กทรอนิกส์ กับคำตอบในรายงานบันทึกการประชุมที่เป็นเอกสารนั้นไม่ตรงกัน เพราะในเอกสารระบุว่า ภาณุวัฒน์ ขวัญยืน ถามคำถามว่า "บริษัท ไอทีวี มีการดำเนินงานเกี่ยวกับสือหรือไม่" ซึ่งคำตอบในเอกสารระบุว่า "ปัจจุบันยังดำเนินกิจการอยู่ ตามวัตถุประสงค์ของบริษัท และมีการส่งงบการเงินและยื่นแบบภาษีเงินได้นิติบุคคลตามปกติ"
ฐปณีย์ ระบุอีกว่า เมื่อรายงานไม่ตรงกัน ผู้ถือหุ้นจึงกังวลว่า เรื่องนี้จะถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง ที่กำลังมีการพิจารณาคดีถือหุ้น ITV ของพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกฯ จากพรรคก้าวไกล
ขณะที่ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะผู้ร้องคดีถือหุ้นไอทีวีของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล กล่าวว่าได้ดูข้อมูลจากที่สื่อมวลชนนำเสนอแล้ว โดยเฉพาะในประเด็นที่บันทึกการประชุมไม่ตรงกันว่าข้อมูลอาจจะคลาดเคลื่อนได้ ตนได้ตรวจสอบแล้ว และจากการดูบันทึกการประชุมย้อนหลังไป 10 ปีก็มีการถามตอบลักษณะนี้ ซึ่งเป็นเรื่องปกติ หากผู้ถือหุ้นเห็นว่าบันทึกไม่ตรงกันก็สามารถขอแก้ไขได้ ที่สำคัญประเด็นเหล่านี้เป็นคำถามท้ายการประชุม ไม่ได้มีผลอะไร ตนไม่ได้นำมาเป็นส่วนหนึ่งในคำร้อง เพราะในกฎหมายระบุว่าห้ามเป็นผู้ถือหุ้นในกิจการ และกรมพัฒาธุรกิจฯยังขึ้นข้อมูลในเว็บไซต์ว่ายังประกอบธุรกิจตามวัตถุประสงค์ก็ครบถ้วน คนที่กำลังเดือดร้อนก็ร้องหาทุกวิถีทาง เมื่อเห็นว่ามีการตีตกคำร้องก็ดีใจ เป็นธรรมดาที่จะคว้าทุกอย่างมาเป็นเหตุผล เป็นสิทธิ์ที่ทำได้ แต่ไม่เกี่ยวกับประเด็นที่ตนร้อง
ส่วนเรื่องคดีอาญาก็เป็นอีกประเด็นที่ได้จากพยานหลักฐานที่ตนร้องไป เมื่อร้องไปแล้วก็รอให้เขาแก้ต่าง ควรรอให้ กกต.เรียกมาชี้แจง แก้ข้อกช่าวหา ส่วนที่โชว์หนังสือเรื่องอื่นมาค่อยแก้ตรงนั้น การให้กองเชียร์มาแก้ ไม่มีผลต่อการพิจารณาของเจ้าพนักงานหรือศาล
เมื่อถามย้ำว่า กรณีที่ในการประชุมผู้ถือหุ้น มีการบอกว่าต้องรอการตัดสินก่อนจึงจะรู้สถานะไอทีวี ไม่มีผลกับคำร้องใช่หรือไม่ นายเรืองไกรกล่าวว่า
“ผมไม่ได้ใช้เรื่องนี้เข้าไปร้อง เพราะเรารู้ เราใช้ทะเบียนผู้ถือหุ้น 18 ปี ถ้าร้องว่าเป็นทะเบียนเท็จหรือการแจ้งที่อยู่ของคุณพิธา 3 ครั้งเป็นเท็จ คุณก็แก้มาเพราะเป็นไปไม่ได้ แต่งบการเงินเราก็ขอให้ถามจนถึงปัจจุบันว่าการประกอบธุรกิจตามวัตถุประสงค์มีหรือไม่ คนไปเข้าใจว่าบริษัทไอทีวีจำกัด เดิมไม่ใช่ชื่อนี้ แต่เอาชื่อสถานีมาเปลี่ยน แต่ไม่ได้หมายความว่าบริษัทไอทีวีมีวัตถุประสงค์แค่ในสัญญา ร่วมงานกับสปน.เท่านั้น เหมือนกรณีที่มีการทักท้วงอาคารรัฐสภา บริษัททำไม่เรียบร้อย เขาไม่ได้ทำอาคารเดียว แต่ทำอีกหลายสถานที่ จะมาบอกว่าเขาทำไม่เรียบร้อยเพราะไม่ได้ประกอบกิจการรับเหมาก่อสร้างไม่ได้ เป็นคนละเรื่องกัน ต้องเข้าใจให้ถูก แต่การหาเหตุผลเข้าข้างตัวเอง ในขณะที่มีปัญหา มีวิกฤต ก็น่าเห็นใจ รวมถึงกองเชียร์ด้วย ซึ่งต้องไปแก้ประเด็นเดียว ถ้าทะเบียนผู้ถือหุ้นผิด ที่อยู่ผิด ยังพอฟังได้ แต่ตนเชื่อว่าแก้ไม่ตก เพราะมันปรากฎไปแล้ว”
นายเรืองไกรยังมั่นใจว่าคำร้องของตนไม่มีข้อผิดพลาด และไม่ได้อ้างหลักฐานลักษณะนี้อยู่แล้ว การไต่สวนให้ได้ข้อยุติจะต้องฟังแต่ละเรื่องประกอบกัน แต่สังคมสาธารณะไม่เข้าใจ โพสต์กันสนุกสนาน ถือว่าเป็นการช่วยหายใจได้นิดหนึ่ง
ส่วนกรณีมีการตั้งข้อสังเกตว่าเรื่องนี้ทำกันเป็นขบวนการนั้น นายเรื่องไกรถามกลับว่า
“ตอนที่ให้ผมช่วยหาข้อมูลอภิปรายพลเอกประยุธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แปลว่าผมอยู่ในขบวนการสกัดนายกฯประยุทธ์หรือไม่ กล้าเถียงหรือไม่ ถ้ากล้าเถียงตนจะเปิดหลักฐานให้ ทั้งพรรคก้าวไกลและเพื่อไทย และมีพรรคอื่นที่บอกให้ผมร้องนั้นร้องนี่ ผมเห็นเหตุควรร้องผมก็เขียนให้ ร้องเหตุส.ส.พลังประชารัฐเข้าข่ายรับเงินผิดปกติผมก็ร้อง ต้องส.ส.เพื่อไทยไม่ได้แจ้งหนี้ค้ำประกันผมก็ร้อง แปลว่าผมอยู่ในขบวนการคุณมาก่อน พอผมไม่อยู่กับคุณ คุณว่าผมไปอยู่ขบวนการฝั่งตางข้ามเหรอ กลับไปถามตัวพวกคุณ วันที่คุณบอกผมว่าหมอเลี้ยบ (นายแพทย์ สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี) เป็นผอ.พรรคไม่ได้ ก็ไม่ใช่พวกคุณหรือคุณกล้าเถียงมั๊ย ผมจะได้เปิดโทรศัพท์ให้ดู พยานบุคคลผมมี มันเป็นกระบวนการตรวจสอบ ควรจะยอมรับ ผมอยากเห็นในเมื่อคุณเป็นพรรคใหม่ เป็นคนรุ่นใหม่ ชำนาญการใช้เทคโนโลยี ส.ส.รุ่นเก่า
ชื่นชม การที่เราจะยอมรับการตรวจสอบ ถ้าจะเป็นคนรุ่นใหม่ เล่นการเมืองแบบใหม่ ก็หัดดูนักการเมืองญี่ปุ่นที่เขาแสดงความรับผิดชอบ ถ้าผิดก็ผิด แสดงตนก่อน ไม่ใช่นิ่ง แก้ไปต่างๆนานา และยังไม่ยอมเข้าสู้กระบวนการ”
ทั้งนี้ขอให้ไปหาข้อมูลมาว่าตนรับจ้างใคร ตนทำของตนคนเดียว มีคนมายืนข้างๆอยากออกกล้องข้างตนก็ไม่ว่าอะไร อยากได้สีได้แสงก็ให้เขาไป แต่ขอให้เข้าใจหลักการตรวจสอบ หลักการยื่นพยานหลักฐาน
ล่าสุดนายเรืองไกรยังเปิดหลักฐานการโอนหุ้นของนายพิธา ที่ก่อนหน้าหนี้อ้างว่าจำวันที่ไม่ได้ โดยหลักฐานระบุว่านายพิธาโอนหุ้นในวันที่ 25 เดือน พฤษภาคม 2566