"พล.อ.ประยุทธ์" บอกไม่คุย "ทักษิณ" กลับบ้าน ปล่อยให้เป็นเรื่องกระบวนการทางกฎหมาย บอกไม่ต้องประกาศอะไรกลับมาก็ดำเนินคดี ยินดีหากตั้งรัฐบาลใหม่ได้ตามกรอบ เพราะต่างชาติก็จับตาอยู่ ลั่นไม่มีขั้วอะไรทั้งนั้น แบ่งกันไปเอง
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวว่าการพบกับพลตำรวจเอกดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติวานนี้ (12 มิ.ย.66) ไม่ได้มีการพูดคุยกันถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีประกาศเดินทางกลับประเทศไทย เพราะไม่รู้จะคุยเรื่องอะไร และเมื่อผู้สื่อข่าว ถามว่านายทักษิณมีคดี ในการกลับประเทศไทยจะต้องประสานกับตำรวจ พลเอกประยุทธ์กล่าวว่า “ผมควรจะไปยุ่งกับเขาไหมล่ะ “
เมื่อผู้สื่อข่าวบอกว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติอยู่ภายใต้ การกำกับดูแลของนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์กล่าวว่า “อำนาจใครล่ะ เรื่องกระบวนการไม่เกี่ยวกับรัฐบาล เป็นเรื่องของกฎหมาย” และเมื่อถามย้ำว่าในฐานะกำกับดูแล สตช.นายทักษิณได้ประสานมาหรือไม่ พลเอกประยุทธ์กล่าวว่า “ประสานได้อย่างไร” ก่อนจะถามว่า “ผมถามประสานยังไง ผมจะไปรับปากกับท่านได้อย่างไร”
เมื่อผู้สื่อข่าวบอกว่าไม่ได้หมายความว่ารับปาก แต่การจะกลับไทยของนักโทษหนีคดีจะต้องมีการประสานหรือไม่ถ้าประกาศว่าจะเดินทางกลับประเทศไทย พลเอกประยุทธ์กล่าวว่า ก็ไม่ต้องประกาศอะไรทั้งสิ้น ถ้ากลับมาก็ดำเนินคดี ก็จบ อยู่ในขั้นตอนของกฎหมายมีอยู่แล้ว ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรทั้งสิ้น ผมไม่ใช่ศัตรูของใครทั้งสิ้น มีประเด็นทางกฎหมายก็ไปแก้ทางกฎหมายนะจ๊ะ คือไม่ใช่นายกฯจะทำได้ทุกอย่างนะ จะบอกให้นะ ก็ต้องทำทุกอย่างด้วยความระมัดระวัง เป็นอำนาจของใครก็ของใครก็ว่ากันไปนะจ๊ะ ไม่งั้นจะเกิดความขัดแย้งกันแบบนี้แหละ ถ้าเราเอาความขัดแย้ง ประเทศชาติก็เดินไม่ได้ อย่าลืมว่าเราอยู่ในสายตาของโลกเขาด้วย ปัญหามันจะเกิดได้ในด้านเศรษฐกิจการลงทุน ทั้งในและต่างประเทศ รัฐบาลต้องระมัดระวังอย่างที่สุด ในเรื่องการรักษาวินัยทางการเงินการคลัง ทำอะไรก็ต้องคิดไปให้ไกล อย่าคิดใกล้ๆ คิดใกล้มันก็ไม่พ้นสักที มันก็ติดหล่มอยู่แบบนี้ ปัญหาก็เกิดขึ้นอยู่แบบนี้ ต้องมองว่าเราจะอยู่กันอย่างไรในระยะยาว ผมไม่ได้ขัดแย้งกับใคร ยินดีด้วยซ้ำไป ถ้าตั้งรัฐบาลใหม่ได้ตามกรอบเวลาที่กำหนด มันก็ดีใช่ไหม ต่างประเทศเขาก็รอดูอยู่
เมื่อผู้เสื่อข่าวถามว่าถึงเวลาสลายขั้วชินวัตรและขั้วอื่นๆ แล้วหรือไม่ พลเอกประยุทธ์กล่าวว่า “ไม่มีขั้วอะไรทั้งนั้น เราไปแยกขั้วกันเอง”