วุ่น! คนหวังดีโพตส์ช่วยตาเศรษฐี ญาติปัดขังแจงเปิดแอร์จ้างคนดูแล กันพวกไถเงิน
จากกรณีครูตะวัน ได้เดินทางไปตามบ้านเป้าหมายที่ได้รับแจ้ง พบหน้าบ้านปิดประตูมิดชิดทั้งประตูรั้ว และในตัวอาคารในรั้วบ้าน พบรถยนต์และมอเตอร์ไซค์จอดอยู่
ครูตะวัน ได้เรียกชื่อชายชราคนดังกล่าวอยู่นาน ทั้งชื่อไทยและชื่อเวียดนาม จึงมีผู้หญิงวัยกลางคนซึ่งเป็นชาวเวียเนามออกมาเปิดประตูเหล็กม้วน
ครูตะวัน อ้างว่า เป็นเพื่อนกับผู้ป่วยอยากมาเยี่ยมเพราะพึ่งทราบว่าป่วย ในห้องกระจก ซึ่งไม่สามารถเปิดประตูได้ พบชายชรา ผอมโซ เดินลำบาก ด้วยอาการของคนป่วยแขนขาอ่อนแรง พยายามประคองตัวเอง มายืนคุยกับ ๆ ครูตะวัน
ชายคนดังกล่าว แจ้งว่า ตนเองป่วยด้วยอาการเส้นเลือดตับตันมานานกว่า 3 ปี นับตั้งแต่ป่วย 1.ถูกยึดกุญแจ ทุกดอก 2.ถูกยึดเงินทุกบาท ทั้งเงินสด และเงินในบัญชี (หลายล้าน) 3.ไม่ให้ไปพบแพทย์ หรือรับยา 4.ไม่ให้บุคคลอื่นมาดูแล ช่วยเหลือ นอกจากชาวเวียดนาม ที่ญาติจ้างมา 5.ไม่ให้ออกไปข้างนอกตัวบ้าน 6.ญาติเตรียมส่งตนไปอยู่บ้านพักคนชรา ทั้งที่ตนมีบ้านส่วนตัว มีทรัพย์สินส่วนตัว ตนจึงอยากขอความช่วยเหลือ เพื่อให้ตนได้เข้ารับการรักษา ได้มีอิสระ ในการใช้ชีวิต และได้รับการดูแลจากเจ้าหน้าที่รัฐ
ล่าสุดวันนี้ทีมข่าวช่อง 8 ไปกับ คุณสวรรญา น้องสาวของนายเชิดชัย เล่าให้ทีมข่าวฟังว่า ครอบครัวตัวเองมีพี่น้องทั้งหมด 8 คน ตัวเองเป็นลูกคนที่ 8 ส่วนนายเชิดชัย เป็นลูกคนที่ 6
ตัวเองขอยืนยันว่า เครือญาติพี่น้อง ไม่มีใครทิ้งให้นายเชิดชัย อยู่คนเดียวตามลำพังแต่อย่างใด ตัวเองและพี่ๆคนอื่นๆ ก็แวะเวียนมาดูแลนายเชิดชัยเป็นประจำ และมีการจ้างแม่บ้าน ให้ช่วยดูแลอย่างใกล้ชิดอีกด้วย อาหารตัวเองก็ซื้อมาให้พี่ชายทาน 3 เวลาต่อวัน หรือถ้าพี่ชายอยากจะทานอะไร ตัวเองก็ให้แม่บ้านไปหาซื้อมาให้ทานเสมอ
สำหรับพี่ชายตัวเอง ป่วยเป็นโรคสมองฝ่อ ได้ประมาณ 3 ปี ที่ผ่านมาบรรดาพี่น้อง ก็พาไปรักษาโรงพยาบาลเอกชน มาตลอด ซึ่งตัวเองก็มีภาพยืนยันว่า ก่อนหน้านี้พาพี่ชายไปรักษามาหลายที่ บรรดาพี่น้อง ไม่ได้กักขัง หรือห้ามให้พี่ชายไปพบแพทย์ เหมือนที่ถูกกล่าวหาแต่อย่างใด
ต่อมาทีมข่าวช่อง 8 เดินทางมายังบ้านของนายเชิดชัย ธเนศวรสกุล อายุ 72 ปี ผู้ที่ถูกอ้างว่าถูกญาติกักขัง ไม่ให้พบแพทย์ และยังถูกยึดเงินทุกบาทนั้น
เมื่อทีมข่าวมาถึงบ้านหลังดังกล่าว พบว่านายเชิดชัย นอนอยู่ในห้องกระจก ที่ชั้น 1 ของบ้าน และบางครั้งก็มีลุกขึ้นมานั่งพร้อมชู 2 นิ้ว ให้ทีมข่าวเป็นระยะๆ
ตัวเองขอยืนยันว่า เครือญาติพี่น้อง ไม่มีใครทิ้งให้นายเชิดชัย อยู่คนเดียวตามลำพังแต่อย่างใด ตัวเองและพี่ๆคนอื่นๆ ก็แวะเวียนมาดูแลนายเชิดชัยเป็นประจำ และมีการจ้างแม่บ้าน ให้ช่วยดูแลอย่างใกล้ชิดอีกด้วย อาหารตัวเองก็ซื้อมาให้พี่ชายทาน 3 เวลาต่อวัน หรือถ้าพี่ชายอยากจะทานอะไร ตัวเองก็ให้แม่บ้านไปหาซื้อมาให้ทานเสมอ
สำหรับพี่ชายตัวเอง ป่วยเป็นโรคสมองฝ่อ ได้ประมาณ 3 ปี ที่ผ่านมาบรรดาพี่น้อง ก็พาไปรักษาโรงพยาบาลเอกชน มาตลอด ซึ่งตัวเองก็มีภาพยืนยันว่า ก่อนหน้านี้พาพี่ชายไปรักษามาหลายที่บรรดาพี่น้อง ไม่ได้กักขัง หรือห้ามให้พี่ชายไปพบแพทย์ เหมือนที่ถูกกล่าวหาแต่อย่างใด
ส่วนประเด็นเรื่องญาติยึดเงินในบัญชีของนายเชิดชัยไปหมดนั้น ตัวเองยืนยันว่าไม่เป็นความจริง
นางสวรรญา ชี้แจงว่า ก่อนหน้านี้นายเชิดชัยมีเงินในบัญชี 4 ล้านกว่าบาท จากนั้นบรรดาพี่น้อง ได้ถอนเงินจำนวน 1 ล้านบาท ออกมา เพื่อเป็นค่ารักษาอาการและค่าใช้จ่ายของนายเชิดชัย ที่รักษาตัวอยู่ที่กรุงเทพมหานคร โดยมีการใช้จ่ายเงินรักษาพยาบาลแะค่ากินอยู่ประมาณ 2 แสนบาท แต่อยู่ กทม.ได้แค่ 40 วัน นายเชิดชัยก็รู้สึกเบื่อ จึงขอกลับมาอยู่บ้านที่จังหวัดอุดรธานี โดยเงินก้อน 1 ล้าน จึงเหลือ 8 แสน แล้ว
บรรดาเครือญาติ จึงแบ่งเงินเป็น 2 ก้อน ก้อนแรกเงินบัญชีหลัก ถอนไป 1 ล้าน เหลือ 3 ล้านกว่า ก้อนที่ 2 เหลือ 8 แสน ซึ่งเงินก้อนแรกทางญาติจะไม่สามารถถอนเงินมาใช้จ่ายได้โดยพละการเลย เพราะมีผู้ค้ำถึง 3 คน
นางสวรรญา สัจวิรินทรัพย์ น้องสาวคนที่ 8 ยังส่งภาพและคลิป ขณะที่บรรดาญาติๆ พานายเชิดชัย ไปรักษาที่่โรงพยาบาล รวมถึงพาไปทานข้าวในห้าง และคลิปตอนที่นายเชิดชัย อาศัยอยู่ในบ้าน เพื่อเป็นการยืนยันว่าไม่ได้กักขัง และห้ามนายเชิดชัยไปหาหมอแต่อย่างใด
ด้านนางมณีรัตน์ เลิศผลดี อายุ 76 ลูกคนที่ 4 และเป็นพี่สาวของนายเชิดชัย ให้สัมภาษณ์กับทีมข่าวว่า ตัวเองขอยืนยันว่าทางครอบครัวไม่ได้ทิ้งให้นายเชิดชัย ต้องอยู่คนเดียว ญาติทุกคนพานายเชิดชัยไปหาหมอตลอด ตัวเองรู้สึกเจ็บปวดมาก ที่คนอื่นมาว่าให้ครอบครัวตัวเองแบบนี้
ถ้าชาวบ้านแถวนี้จะรู้เลยว่า พี่น้องตระกูลนี้รักใคร่กันดี ดูแลกันดี ส่วนเรื่องทรัพย์สิน ของนายเชิดชัย ก็ขอยืนยันว่า ญาติๆไม่มีทางเอาทรัพย์สินนายเชิดชัยไปแน่นอน พี่น้อง 8 คนในตระกูล ไม่เคยมีประวัติแบบนั้นมาก่อน