"ศิธา" ย้ำ "หยก" ไม่ควรถูกผลักออกจากระบบการศึกษา มองการใส่ชุดไปรเวท คือการแสดงออกว่าถูกกดดัน แนะถอยคนละก้าว มิเช่นนั้นไม่จบ เปรียบเด็กก็เหมือนม้าที่มีกำลังวังชา หากวิ่งถูกที่ทำประโยชน์เพื่อประเทศได้

นาวาอากาศตรีศิธา ทิวารี แกนนำพรรคไทยสร้างไทย แสดงความคิดเห็นถึงกรณี หยก เยาวชนนักเคลื่อนไหวทางการเมือง อายุ 15 ปี ที่มีปัญหาไม่ได้รับสถานะ "นักเรียน" จากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา พัฒนาการ  โดยมองว่า เด็กทุกคนไม่ควรที่จะต้องหลุดพ้นจากระบบการศึกษา ส่วนการแสดงออกต่างๆหากมีการแสดงออกอะไรที่ดูรุนแรงเกินไปหรืออาจจะมีความเป็นตัวเองสูงนั้น ตนมองว่า เยาวชนก็คือเยาวชน หากได้พูดคุยกันและรับฟังในความคิดเห็นของเขา ก็น่าจะมีทางออก เปรียบเหมือนม้า เราอาจจะชอบขี่ม้าที่เชื่อง นิ่งๆ เป็นม้าแกลบ แต่เวลาไปแข่งที่ไหน มันก็ไม่ชนะ แต่ถ้าที่มีกำลังวังชา เอาไปวิ่งที่ถูกที่ควร เชื่อว่าจะเป็นม้าชนะ และทำประโยชน์ให้ประเทศชาติได้

  

เช่นเดียวกับเยาวชน ควรเป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่ควรไปพูดคุย รวมถึงกลไกต่างๆที่จะวินิจฉัยให้พ้นจากการศึกษาหรือควรจะได้เรียนต่อ จะต้องวินิจฉัยอย่างตรงไปตรงมา เพราะขณะนี้โรงเรียนชี้แจงว่า เรื่องต่างๆที่มองว่าผิดระเบียบ ไม่ได้เป็นเกณฑ์ที่ทำให้พ้นสภาพการเป็นนักเรียน ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องพูดคุยกัน แต่ที่ต้องพ้นสภาพเพราะเรื่องของการมอบตัว ดังนั้น จึงมองว่าควรเป็นเรื่องที่จะต้องมาพูดคุยกันหาจุดตรงกลางแบบพอดีๆ และหากจะให้หลุดจากโรงเรียนในปัจจุบันจะมีสถานศึกษาใดรองรับ เพราะเด็กก็เติบโตขึ้นมาเรื่อยๆ ซึ่งจะโตจากเยาวชน ไปเป็นประชาชนที่ไม่ได้รับโอกาสทางการศึกษา

  

ส่วนที่วันนี้มีการหารือ 3 ฝ่าย ไม่มีตัวแทนของโรงเรียนเข้าร่วมหารือเลย นาวาอากาศตรีศิธา กล่าวว่า ตนยังไม่เห็นในรายละเอียด พูดได้ในหลักการ ว่า เป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่ต้องพูดคุยกัน และเด็กไม่ควรหลุดออกจากระบบการศึกษา เพราะไม่ได้กระทบแค่เด็กคนเดียว แต่กระทบทั้งระบบการศึกษา เด็กทุกคนที่ไม่ควรจะเจอเรื่องแบบนี้ หากผิดก็ว่ากันไป อะไรที่ไม่เหมาะ ไม่ควร ก็ควรจะเป็นการคาดโทษหรือตักเตือน แต่ไม่ควรเอาหลายๆเรื่องมารวมกัน

 

นาวาอากาศตรีศิธา ยังกล่าวถึงกรณีที่กระแสสังคมวิพากษ์วิจารณ์ที่น้องหยก ที่ไม่ได้ปฏิบัติตามกฎระเบียบ ว่า  ผิดถูกก็ต้องว่ากัน ตนมองเผด็จการอยู่ตรงข้ามสิทธิเสรีภาพ แต่ประชาธิปไตย คือ กฎเกณฑ์ให้ใช้สิทธิเสรีภาพในสังคมร่วมกันได้ โดยไม่กระทบสิทธิเสรีภาพผู้อื่น  ซึ่งสิทธิเสรีภาพที่มากเกินไป อาจจะไปรบกวนสิทธิ์เสรีภาพของผู้อื่นและสังคมไม่มีระเบียบแบบแผน

   

"ระบบประชาธิปไตย คือกลไก กฎหมายหรือข้อบังคับหรืออยู่ตรงกลางระหว่างเผด็จการและสิทธิเสรีภาพ ที่จะทำให้คนหมู่มากอยู่ร่วมกัน มีตั้งแต่ครอบครัว ซึ่งเหตุการณ์นี้ หากมุ่งสิทธิเสรีภาพมากไป แต่ไปรวบกวนสิทธิผู้อื่น ทำให้สังคมไม่สามารถอยู่แบบมีแบบแผน หรือไม่เอียงไปทางเผด็จการได้ ควรหาจุดพอดีกึ่งกลาง "

  

ส่วนการใส่ชุดไพรเวท คือ สิ่งที่เยาวชนต้องการสื่อ และมีหลายคนต้องการแสดงเชิงสัญลักษณ์ เพราะถูกกดดัน ก่อนจะย้ำว่า ถ้าไม่ถอยคนละก้าว แล้วหันหน้าคุยกันสังคมก็จะเป็นเช่นนี้