กรรมสนอง "เปรี้ยว หั่นศพ" หลอนคาคุกผวาเห็นตับไต เปิด จม.ลาแม่ไร้คนเยี่ยม
จากคดี เปรี้ยว หั่นศพ หรือ น.ส.ปรียานุช , น.ส.กวิตา หรือ เอิร์น และ น.ส.อภิวันท์ หรือ แจ้ ผู้ต้องหาคดีฆ่าหั่นศพ น.ส.วริศรา กลิ่นจุ้ย หรือแอ๋ม อายุ 22 ปี หลังจากทั้ง 3 คนถูกจับเข้าเรือนจำไปแล้ว เหตุเกิดเมื่อช่วงกลางปี 2560 ที่ จ.ขอนแก่น
ส่วนเรื่องที่เปรี้ยวและเอิร์น หลังจากเข้ารับโทษในเรือนจำและเปรี้ยวต้องกินยาจิตเวชระงับอาการทางประสาทตลอดเวลา และเอิร์น ก็ผวาเวลาดูทีวีที่มีข่าวหรือเรื่องราวเกี่ยวกับตับ ไต ไส้ พุง ก็จะไม่สามารถดูได้ ตนเองมองว่าเป็นผลกรรมที่ทั้งสองสมควรได้รับ ตนเองไม่อยากซ้ำเติมทั้งสองคน เพราะทั้งสองได้รับกรรมที่ทำไปแล้ว ซึ่งก็เหมือนตายทั้งเป็น แต่จะให้อภัยทั้งสองหรือไม่ตนเองขอไม่ให้อภัย เพราะสิ่งที่ทั้งสองทำกับหลายตนเองมันเกินไปจนจะให้อภัย
ด้านน.ส.วรัญญา หล่อจิตต์ หรือ น้ำ ออกมาแชร์ประสบการณ์เคยใช้ชีวิตอยู่ใน ทัณฑสถานหญิงนครราชสีมา ร่วมกับ น.ส.ปรียานุช โนนวังชัย หรือเปรี้ยว, น.ส.กวิตา ราชดา หรือเอิร์น ตนเองมองว่าสิ่งที่น้ำพูด คือ การกล่าวหาว่าสาเหตุที่ทำให้เปรี้ยวลงมือฆ่าหั่นศพลูกสาวตนเองมาจากลูกสาวตนเองเป็นต้นเหตุ ซึ่งตนเองมองว่าสิ่งเปรี้ยวพูดเชื่อถือได้มากแค่ไหน เพราะลูกสาวตนเองก็ตายไปแล้วไม่มีโอกาสได้พูด
นอกจากนี้สิ่งที่หลายคนแสดงความคิดเห็นและวิจารณ์ลูกสาวตนเองในช่องยูทูปดังกล่าว ยอมรับว่า กระทบจิตใจตนเองและครอบครัวมาก เหมือนมาซ้ำเติมความสูญเสียอีกครั้ง จึงอยากให้ทางน้ำและเจ้าของช่องยูทูปออกมาแสดงความรับผิดชอบหรือขอโทษกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น เพราะตอนนี้กลับกลายเป็นว่าคนส่วนใหญ่เห็นใจผู้ต้องหามากกว่าผู้ตาย ทั้งที่การกระทำของผู้ต้องหาโหดเหี้ยมเกินไป พร้อมกับอยากให้น.ส.วรัญญา หล่อจิตต์ หรือน้ำ หยุดการกระทำเอาลูกตนเองมาหากิน เพราะทุกวันนี้ตนเองก็ยังสูญเสียและทำใจไม่ได้ หากไม่หยุดต้องเองจำเป็นต้องดำเนินการทางกฏหมาย
ล่าสุดผู้สื่อข่าวเดินทางมาที่บ้านเหล่านางาม ตำบลบ้านเป็ด อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ซึ่งเป็นบ้านของนางสำราญ เพียจันทร์ อายุ 74 ปียายของน.ส.วริศรา กลิ่นจุ้ย หรือแอ๋ม เหยื่อฆ่าหั่นศพ ซึ่งเราได้พบยายของแอ๋มกำลังพักรักษาอาการดวงตาทั้ง 2 ข้าง หลังจากที่เข้ารับการผ่าตัดต้อกระจกตา อยู่ที่กระท่อมหน้าบ้าน
จากนั้นเราจึงได้ไปคุยกับนางสำราญ ยายของแอ๋ม ยอมรับทั้งน้ำตาว่า แม้จะผ่านมา 6-7 ปีแล้วกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็ยังทำใจไม่ได้ เพราะภาพเหล่านั้นยังติดอยู่ในใจตลอดและทุกครั้งที่นึกถึงสิ่งที่เปรี้ยวและพวกทำกับหลานตนเอง น้ำตาก็จะไหลออกมาทุกครั้ง โดยเฉพาะแม่ของแอ๋มที่ทุกครั้งที่มาเจอหน้ากันก็มีแต่ร้องไห้คิดถึงลูกสาว จนบางครั้งมองไปเจอใครที่อายุไล่เลี่ยกับแอ๋มก็จะทักว่าเป็นแอ๋มตลอด
ขณะที่เรากำลังพูดคุยกับยายของน.ส.วริศรา กลิ่นจุ้ย หรือ แอ๋มที่ถูกเปรี้ยวฆ่าหั่นศพ น.ส.พิชชาภา แม่น้องแอ๋ม ได้โทรศัพท์วิดีโอคอลมาหาน้องสาวพอดี เราจึงได้มีโอกาสคุยกับคุณแม่ผ่านทางวิดีโอคอล
ซึ่งแม่ยอมรับว่า แม้จะผ่านมา 6-7 ปีแล้วแต่ตนเองไม่เคยลืมเหตุการณ์ในวันนั้นที่เปรี้ยวได้ลงมือฆ่าหั่นศพลูกสาว ทุกวันนี้ตนเองยังทำใจลืมไม่ได้ แต่ก็ยังพยายามทำใจให้ลืมเรื่องราวร้ายๆ ด้วยการเข้าหาธรรมะ ให้ธรรมมะช่วยเยียวยาจิตใจ
ส่วนเปรี้ยวและเอิร์น ต้องทานยาระงับประสาท ตนเองถือว่าทั้งสองได้รับผลกรรมจากการกระทำของตนเองไปแล้ว ซึ่งตนเองไม่อยากซ้ำเติมใคร ปล่อยให้เป็นไปตามเวรกรรมของใครของมัน
ขณะเดียวกันเราได้เข้าไปดูเฟซบุ๊ของแม่แอ๋ม พบว่า ล่าสุดเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคมที่ผ่าน แม่ของแอ๋มยังโพสต์เฟซบุ๊คถึงลูกสาวพร้อมกับโพสต์รูปที่ถ่ายคู่กับลูกสาวและแชทข้อความที่ลูกสาวเคยแชทหาตอนยังมีชีวิตอยู่ และเขียนความ ในลักษณะว่าไม่ว่าจะผ่านมานานแค่ไหน แม่ก็ยังคงไม่ลืมลูกสาวสักวินาที กว่าจะผ่านได้แต่ละวันเจ็บปวดเหลือเกิน โดยโพสต์นี้ได้โพสต์หลังวันเกิดเหตุ 1 วัน (วันเกิดเหตุ วันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ.2560)
ต่อมาผู้สื่อข่าวช่อง 8 ได้เดินทางไปที่บ้านห้วยบาก ตำบลคำม่วง อำเภอเขาสวนกวาง จังหวัดขอนแก่น ซึ่งเป็นบ้านของน.ส.ปรียานุช โนนวังชัย หรือ เปรี้ยว ผู้ต้องหาฆ่าหั่นศพแอ๋ม ซึ่งเราได้พบกับนางสาคร ภาษี แม่ของเปรี้ยว ที่กำลังทำกับข้าวอยู่ที่กระท่อมข้างบ้าน ขณะที่ภายในกระท่อมมีที่นอนและหมอนรวมทั้งเสื้อผ้าแขวนอยู่ ซึ่งจากการสอบถามนางสาคร บอกว่า บางวันที่คิดถึงลูกก็จะออกมานอนอยู่กระท่อม
จากนั้นเราจึงได้สอบถามนางสาคร ถึงกรณีที่เปรี้ยวต้องกินยาจิตเวชระงับประสาน ซึ่งนางสาคาร เผยว่า หลังจากที่เปรี้ยวถูกศาลตัดสินลงโทษจำคุกในคดีฆ่าหั่นศพ เป็นระยะเวลา 34 ปี 6 เดือน หลังจากรับโทษที่เรือนจำขอนแก่นและได้ย้ายไปรับโทษที่เรือนจำคลองไผ่ จังหวัดนครราชสีมา เมื่อปี 2561 ตนเองได้ไปเยี่ยมลูกสาว ประมาณ 2 ครั้ง โดยได้ขี่รถจักรยานยนต์จากขอนแก่นไปเรือนจำคลองไผ่พร้อมกับลูกชายคนโต หลังทางเรือนจำเปิดให้ญาติเข้าเยี่ยมผู้ต้องหาภายในเรือนจำได้
ซึ่งขณะนั้นเปรี้ยวก็ไม่ได้มีท่าทีแสดงอาการป่วยแต่อย่างใด ซึ่งยังเล่นสนุกกับเพื่อนๆ ยังดูมีท่าทางร่าเริงแจ่มใส และยังได้นำพวงมาลัยดอกมะลิมากราบเท้าตนเอง พร้อมกับบอกให้ตนเองดูแลสุขภาพให้ดี เพื่อรอวันที่ลูกสาวจะถูกปล่อยตัว ในอีก 9 ปี พร้อมกับสัญญาว่าหากตนเองถูกปล่อยตัว จะปรับปรุงตัวเป็นคนดีของครอบครัว ซึ่งตนเองก็ได้ปลอบใจลูกสาวและได้บอกว่าให้รับโทษไปเพราะตนเองทำผิดจริงและให้อดทน
นางสาคร บอกอีกว่า หลังจากนั้นตนเองไม่ได้ไปเยี่ยมลูกสาวอีกเลย เนื่องด้วยระยะทางที่ไกลและสุขภาพไม่ดีรวมทั้งไม่มีเงินค่าเดินทาง จึงได้แต่เขียนจดหมายหา ซึ่งหลังจากที่ตนเองไม่ได้เยี่ยม จึงไม่รู้ว่าลูกสาวมีอาการป่วยจนต้องกินยาจิตเวช จนกระทั่งมาทราบจากที่นักข่าวที่มาถาม แต่ตนเองคิดว่า อาจจะเป็นเพราะเพื่อนที่สนิทที่เคยอยู่ในเรือนจำด้วยกันถูกปล่อยตัว หรือย้ายเรือนจำ รวมไปถึงตนเองก็ไม่ได้ไปเยี่ยมลูกสาวเหมือนแต่ก่อน รวมไปไปถึงผลกระทบจากการกระทำของลูกสาวที่ยังคงทำให้สะเทือนใจอยู่ จึงส่งผละกระทบทำให้ลูกสาวเครียดและวิตกกังวลก็เป็นได้
นอกจากนี้ทราบว่าลูกสาวถูกย้ายไปอยู่ที่เรือนจำจังหวัดเชียงใหม่ ทำให้ตนเองยิ่งเป็นห่วงลูกสาว ว่าจะปรับตัวเข้ากับสถานที่ใหม่ได้หรือไม่ พร้อมกับฝากไปถึงลูกสาวให้ดูแลสุขภาพให้ดี ตนเองจะรอวันที่ลูกสาวถูกปล่อยตัว พร้อมกับสอนสังคมให้เห็นใจลูกสาวตนเองด้วย เพราะตอนนี้ลูกสาวตนเองก็ได้รับโทษจากกระทำแล้ว และยืนยันลูกไม่ได้ตั้งใจฆ่าแอ๋ม แต่เพราะโกรธที่แอ๋มพูดไม่ดีใส่
ขณะเดียวกันนางสาคร ยังบอกกับผู้สื่อข่าวอีกว่า ตนเองยังเฝ้ารอว่าสักวันลูกจะถูกปล่อยตัวในเร็ววันนี้ และหวังว่าลูกจะได้กลับมาทันตนเองยังมีชีวิตอยู่ ส่วนบ้านที่เปรี้ยวสร้าง ตนเองยังคงเก็บห้องใหญ่ไว้รอให้ลูกกลับมานอน
นอกจากนี้ นางสาครยังได้นำจดหมายที่เปรี้ยวเขียนมาหานางสาคร ภายในเรือนจำของไผ่ เมื่อช่วงวันแม่แห่งชาติปี 63