ตำรวจสุดช้ำเป็นหนี้ค้ำประกัน 5 ล้านออกเก็บขยะ ลูกสุดเก่งติด 5 มหาลัยไร้เงินเรียน
จากกรณี ผู้สื่อข่าวรายงานว่าพันตำรวจโท วิริยะ เจิมจำนงค์ นายตำรวจระดับสารวัตรกองอำนวยการ ของกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เดินตระเวนติดต่อส่วนราชการทุกหน่วยงานในศาลากลางจังหวัดพระนครศรีอยุธยาขอสนับสนุนทุนการศึกษาให้ลูกสาว น้องช่อฟ้า นักเรียนดีเด่นของโรงเรียน สอบติด 5 มหาวิทยาลัยชื่อดัง ตัดสินใจเลือกเรียนมหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าธนบุรี วิศวกรรมไฟฟ้า แต่ไม่มีเงินส่งลูกเรียน
ปรากฏว่าไม่มีหน่วยงานไหนที่มีทุนให้ได้ แต่ได้คำแนะนำให้ไปขอทุนการศึกษาจากวัดพนัญเชิงวรวิหาร วัดกษัตราธิราชวรวิหาร และมูลนิธิพระมงคลบพิตร จึงทำเรื่องขอทันที แต่ต้องรอการอนุมัติจากวัดและมูลนิธิฯ ที่ขอสนับสนุน ซึ่งวันที่ 7 สิงหาคม 2566 มหาวิทยาลัยจะเปิดเรียน
ล่าสุดทีมข่าวช่อง 8 เดินทางไปที่บ้านของพันตำรวจโท วิริยะ เล่าให้ทีมข่าวฟังว่า ทุกวันนี้ตนเองแค่ภาระเงินเดือนเลี้ยงครอบครัวแทบจะไม่พอใช้จ่ายอยู่แล้ว แต่ชีวิตต้องสู้ ชีวิตต้องมีกำลังใจ คือ ลูกสาววัย 19 และลูกชายวัย 10 ขวบ ทุกวันนี้ตนเองพยายามดิ้นรนหาเงินเลี้ยงครอบครัวส่งลูกเรียน 2 คน ส่วนภรรยาทำก๋วยเตี๋ยวเส้นจันท์ กุ้งอบวุ้นเส้น และขนมจีนแกงเขียวหวานขาย ส่วนตนเองก็รับจ้างเข้าเวรกองบังคับการตำรวจภูธรฯ เวรละ 500 บาท บางวันต้องยอมเข้าเวร 24 ชั่วโมง เพื่อรับจ้างหาเงินเพื่อนำมาจุนเจือครอบครัว
สารวัตรเล่าต่อว่า จุดเริ่มต้นที่ตนเองต้องแบกภาระหนี้สินจำนวนมาก บางเดือนเหลือเงินไม่ถึง 70 บาทเป็นเรื่องจริง โดยก่อนหน้านี้ เมื่อปี 54 ตนเองทำงานเป็นตำรวจอยู่ที่ สน.นางเลิ้ง โดยได้ค้ำประกันให้กับเพื่อนตำรวจคนหนึ่ง คือ ร้อยตำรวจโทนพเก้า เป็นดาบตำรวจเพื่อนสนิทกัน โดยมีตนเองและเพื่อนตำรวจอีกคน คือ ดาบตำรวจสมภพ มะลิทอง ขณะนั้นยศสิบตำรวจเอก เป็นผู้ค้ำประกันร่วมให้
ต่อมา ร้อยตำรวจโทนพเก้า ได้กู้เงินจากสหกรณ์ตำรวจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และก้อนสุดท้ายมียอดเงินที่กู้ไปรวม 2 ล้านบาท
หลังจากนั้น ปี 60 ร้อยตำรวจโทนพเก้า ได้โดนไล่ออกราชการ เนื่องจาก ขาดราชการเกิน 15 วัน และหนีหนี้ไม่ยอมจ่ายเงิน เงินที่กู้ไปทั้งหมด 2 ล้าน ทำให้ตนเองและเพื่อนอีกคนต้องเป็นผู้ชดใช้ให้
นอกจากนี้ตนเองยังได้ค้ำประกันให้กับร้อยตำรวจโทอีกคนหนึ่ง ชื่อร้อยตำรวจโทยศ (สงวนชื่อ-นามสกุล) แต่ต่อมาเจ้าตัวเกิดเสียชีวิต และญาติของร้อย ตำรวจโทยศได้ปิดบังการตาย และถอนเงินฌาปนกิจศพไปหมด และตนเองเพิ่งมาทราบเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีก่อน
ทำให้ตนเองต้องแบกรับภาระชดใช้เงินให้กับ 2 ตำรวจที่ตนเองไปค้ำประกันให้ รวมถึงหนี้สินของตนเองที่กู้มาใช้ด้วย รวมๆกันแล้ว กว่า 4 ล้านบาท
ทำให้ทุกวันนี้ตนเองต้องถูกตัดเงินหักอัตโนมัติ ทุกเดือนเดือนละ 39,700 บาท และกำลังจะตัดเพิ่มอีก 1,000 บาท รวมเป็น 40,700 บาท และคงเหลือในบัญชีเพียง 5,000-6,000 บาทเท่านั้น
เมื่อหักรวมกับ ค่าไฟฟ้าบ้าน เดือนละ 1,300 บาท ค่าสาธารณูปโภค + เงินสมทบฌาปณกิจ เดือน 500 และค่าอื่นๆอีก แต่ละเดือน ตนเองจะเหลือเงินไม่เกิน 1,500 บาทในการกินอยู่ใช้จ่ายในครอบครัว ทั้งๆที่ ฐานเงินเดือนของตนเองตอนนี้อยู่ ที่ 45,700 บาท ในอายุราชการเป็นตำรวจ 27 ปี แต่ถูกหักอัตโนมัติใช้หนี้ไปหมด ทั้งๆที่หนี้บางส่วนตนเองไม่ได้ก่อเลยด้วยซ้ำ
ซึ่งเรื่องทั้งหมด ตนเองไม่ได้ต้องการขอเปิดรับบริจาคแต่อย่างใด แต่แค่นึกน้อยใจตัวเองที่ต้องมาแบกภาระเพราะเพื่อนตำรวจ 2 นาย ที่ตนเองค้ำประกันให้ 1 คนหนีหนี อีกคน ก็เสียชีวิต และตนเองอยากให้คนช่วยเหลือตนเอง ช่วยอุดหนุนซื้อของ ซื้ออาหาร ที่ภรรยาตนเองทำขายมากกว่า จะได้มีเงินมาจุนเจือครอบครัว และส่งลูกสาวและลูกชายเรียนถึงฝั่งฝันได้เท่านั้น
ยอมรับว่า ทุกวันนี้ต้องตื่นตั้งแต่ ตี 4 เพื่อมาช่วยภรรยาทำอาหาร เตรียมของไปขาย จากนั้น ช่วงเช้าก็ไปปฏิบัติหน้าที่ที่ตำรวจภูธรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา บางวันใครจ้างให้เข้าเวร ก็รับหมด เพราะอยากได้เงินมาช่วยดูแลลูกๆ ยอมรับว่า ที่ผ่านมาเคยได้ยินคำดูถูกเหยียดหยามบ้าง ว่า เป็นถึงนายตำรวจ แต่กระจอก จน แต่ตนเองก็ไม่สนใจ
และตนเองก็ยังภูมิใจที่ ตลอดอายุราชการเป็นตำรวจมา 27 ปีตนเองทำแต่ความดีไม่เคยเรียกรับเงิน หรือ รีดไถ่ประชาชน ทำอาชีพอย่างสุจริต ความฝันตอนนี้ขอให้ส่งลูกทั้งสอง ถึงฝั่งฝันก็เพียงพอแล้ว
เรายังได้พูดคุยกับ นางสาวพาณิภัค เจิมจำนงค์ หรือ น้องช่อฟ้า อายุ 19 ปี ได้เปิดใจกับทีมข่าวทั้งน้ำตาว่า
ตนเองนั้นสงสารคุณพ่อคุณแม่มากที่ต้องหาเงินเพื่อหาค่าเทอมให้น้องและตนเองได้เรียนหนังสือ และต้องมาแบกรับภาระที่พ่อแม่ไม่ได้ก่อ ต้องชดใช้หนี้แทน ตำรวจ 2 นายที่พ่อหลงไปค้ำประกันให้
ครั้งแรกจะออกมาทำงานช่วยพ่อแม่ แต่แม่คัดค้าน ต้องการให้เรียนมากกว่า ชีวิตไม่ต้องกังวลกับภาระของครอบครัว จึงตั้งใจเรียนให้ดีที่สุด ส่วนเวลาว่าง ก็จะตื่นตี 4 มาช่วยพ่อแม่ทำของไปขาย อะไรช่วยได้ก็จะช่วย
ตอนนี้ชีวิตเหมือนมีเคราะห์กรรมซ้ำเติม บ้านพักตำรวจที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัยของครอบครัวถูกฟ้าผ่า ทำให้บ้านชั้นบนอยู่อาศัยไม่ได้สายไฟฟ้าถูกฟ้าผ่าเสียหายทั้งหมดต้องย้ายมานอนรวมกันชั้นล่าง
แต่ตนเองก็ไม่เคยคิดน้อยใจเลยที่ชีวิตเกิดมาแบบนี้ ที่ผ่านมา ทั้งน้องชาย ตนเอง เคยได้ยินคำดูถูกว่า ตนเองมีพ่อเป็นตำรวจแต่จน แต่ตนเองก็ไม่เคยคิดน้อยใจเลย และขอบคุณพ่อกับแม่ด้วยซ้ำที่อดทนสู้เพื่อตนเองและน้องชาย
ล่าสุดตนเองเรียนได้เกรดเฉลี่ยรวม 3.87 และตนเองเพิ่งสอบติด 5 มหาวิทยาลัยดัง และได้เลือกเรียน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี คณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรมระบบควบคุมและเครื่องมือวัด โตขึ้นอยากทำงานในบริษัท ปตท. ดูแลเรื่องระบบน้ำมัน และอยากมีเงินเดือนเยอะๆ เพื่อจะได้เป็นเสาหลักแทนคุณพ่อคุณแม่ เพื่อหาเงินเลี้ยงดูพ่อแม่และส่งน้องชายเรียนต่อ ซึ่งเป็นความฝันของหนู หนูอยากให้พ่อกับแม่สบาย ไม่ต้องลำบาก
ทั้งนี้ หากอยากช่วยสนับสนุนทุนการศึกษาให้น้องช่อฟ้า สามารถบริจาคผ่านธนาคารออมสิน สาขาอยุธยาซิตี้พาร์ค บัญชีชื่อนางสาวพาณิภัค เจิมจำนงค์ เลขที่บัญชี 020 413 751 544 ของน้องโดยตรง หรือแค่ช่วยอาหารซื้อก๋วยเตี๋ยว อาหารของครอบครัวที่ทำขายก็ได้
ด้านนางพัชริยา เจิมจำนงค์ ภรรยาพันตำรวจโท วิริยะ เปิดใจกับทีมข่าวว่า ทุกวันนี้ชีวิตต้องสู้ ชีวิตต้องการกำลังใจ ทนภาวะเศรษฐกิจขายของยาก การแข่งขันสูง ที่ต้องทนสุดๆ คือ ลูกถูกบูลลี่เป็นลูกตำรวจจน ฟังแล้วสงสารลูก ทรัพย์สินที่มีอยู่ทั้งหมด รถและของมีค่าขายใช้หนี้สหกรณ์หมด ครอบครัวเดือดร้อนเป็นหนี้สหกรณ์เกือบ 5 ล้าน เพราะค้ำประกันเพื่อนตำรวจ ต้องกู้นอกระบบใช้ สามีเหลือเงินเดือน 70 บาท
สามีทำทุกอย่างที่ได้เงิน สมัยยังไม่ได้ตำแหน่งสารวัตรยังเก็บขยะขายหาเงินเป็นรายได้เสริม แต่พอมีลูกสอบติดมหาวิทยาลัยได้ก็ต้องรับผิดชอบสูง ของก็ขายยาก ตื่นตั้งแต่ตี 4-5 พ่อแม่ลูกก็จะตื่นมาช่วยผัดก๋วยเตี๋ยวจันท์ ทำแกงเขียวหวาน กุ้งอบวุ้นเส้น บรรจุแพ็คใส่กล่องส่งขาย ในราคากล่องละ 40 บาท ให้คนมารับไปขาย กล่องละ 50 บาท ซึ่งทุกวันนี้ ก็ขายได้บ้าง แต่ก็ไม่เยอะ ซึ่ง ตนเองก็อยากให้ คนมาช่วยอุดหนุนอาหารครอบครัวตนเองหน่อย เพราะวันนี้ ทำมา 20 กล่อง ก็เหลือ 5 กล่อง ก็ต้องขาดทุน แต่ก็ต้องสู้
ตนเองยืนยันไม่ได้ต้องการเงินบริจาค แต่อยากให้มาช่วยซื้ออาหารก็ดีใจแล้ว เพราะมองว่า อุปสรรคทั้งหมด เป็นหน้าที่ของครอบครัวตนเองทุกคนที่ต้องช่วยกันฟันฝ่าไปให้ได้ ยอมรับเคยท้อคิดจะฆ่าตัวตาย แต่คิดไปคิดมา หากใครตาย คนที่อยู่ก็จะรับภาระลำบากอีก ดังนั้น ก็สู้ไปนั่นแหละ เดี๋ยวมันก็ผ่านไป
ใครสนใจแวะมาซื้อ แวะมาได้ที่ร้านข้าวเหนียวมูลป้าวิไล (ตนเองอาศัยที่ของร้านฝากขาย ไม่ใช่ร้านของตัวเอง) พิกัดอยู่ข้างกองกำกับ ซอยป่าโทน 4