ธารน้ำใจพุ่ง 2.7 ล้าน ช่วยช่อฟ้าได้เรียน พ่อ ตร.ซึ้งใจ ผบ.ตร. แก้หนี้คำประกัน 5 ล.
จากกรณี พันตำรวจโทวิริยะ เจิมจำนงค์ นายตำรวจระดับสารวัตรกองอำนวยการ ของกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เดินตระเวนติดต่อส่วนราชการทุกหน่วยงานในศาลากลางจังหวัดพระนครศรีอยุธยาขอสนับสนุนทุนการศึกษาให้ลูกสาว น้องช่อฟ้า นักเรียนดีเด่นของโรงเรียน สอบติด 5 มหาวิทยาลัยชื่อดัง หลังตัดสินใจเลือกเรียนมหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าธนบุรี คณะวิศวกรรม แต่กลับไม่มีเงินส่งลูกเรียน เนื่องจากมีหนี้สินที่ตนเองไปค้ำประกันเงินกู้ของสหกรณ์ตำรวจให้กับเพื่อนตำรวจ 2 นาย
แต่ต่อมาเพื่อนตำรวจของสารวัตรทั้งสองนาย คนหนึ่งได้ชิ่งหนีหายสาบสูญ และอีกคนเสียชีวิต ทำให้สารวัตรต้องผ่อนเงินที่เพื่อนตำรวจกู้ไปวงเงินกว่า 2 ล้านบาทให้สหกรณ์ตำรวจแทน และถูกตัดเงินอัตโนมัติจากเงินเดือนต่อเดือนเกือบ 4 หมื่นบาท ทำให้มีเงินคงเหลือบัญชีน้อยสุด ไม่เกิน 1,500 บาทต่อเดือน และเคยเหลือเงินติดตัวเพียง 70 บาท
ความคืบหน้าล่าสุดที่กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา หลังจากเรื่องราวของสารวัตรวิริยะเป็นข่าวไป วันนี้ตั้งแต่ช่วงเช้า พลตำรวจตรีชยานนท์ มีสติ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้เรียกประชุมด่วน และเชิญสารวัตรวิริยะ พร้อมกับภรรยาสารวัตร มาสอบถามเรื่องราวที่เกิดขึ้น พร้อมกับช่วยหาทางแก้ไขปัญหาให้
ต่อมา พลตำรวจตรีชยานนท์ ได้ออกมาแถลงข่าวกับผู้สื่อข่าวถึงเรื่องที่เกิดขึ้น โดยบอกว่า เรื่องราวของสารวัตรวิริยะ ล่าสุดหลังเป็นข่าว พลตำรวจเอกดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้โทรศัพท์สายตรงมาแสดงความเป็นห่วง และสั่งการให้ตนเองลงมาแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือโดยด่วน และจากการประชุมหารือกันนั้น
ตอนนี้ยอดบริจาคที่ประชาชนชาวไทยโอนเงินบริจาคช่วยเหลือครอบครัวสารวัตรนั้น ขณะนี้เป็นเงินกว่า 2.7 ล้านบาทแล้ว ซึ่งเพียงพอต่อทุนการศึกษาและการดำรงชีวิตของครอบครัวของน้องช่อฟ้าแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อเพราะเพียงชั่วข้ามคืนเท่านั้น
ตนเองจึงได้หารือกับครอบครัวว่า ทางครอบครัวขอปิดรับบริจาคแล้ว ซึ่งตอนนี้พยายามจะปิดบัญชีอยู่ แต่เท่าที่ทราบจากน้องช่อฟ้า ยังไม่สามารถปิดบัญชีได้ตอนนี้ เนื่องจากธนาคารแจ้งว่า มียอดเงินทยอยโอนมาให้ไม่หยุด ทำให้ไม่มีช่องว่างในการขอปิดบัญชี ซึ่งครอบครัวกำลังพยายามเร่งทำเรื่องปิดบัญชีกับธนาคารโดยเร็วที่สุด
ส่วนเรื่องการเยียวยาเบื้องต้น ตนเองได้แบ่งการเยียวยาและแก้ไขปัญหา ทั้งระยะยาวและระยะสั้น โดยการเยียวยาระยะสั้น ทางตำรวจภูธรจังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้มอบเงินช่วยเหลือกับครอบครัวเบื้องต้นเป็นเงินจำนวนหนึ่งให้แล้ว
ส่วนในระยะยาว ตนเองได้สั่งการให้ พันตำรวจเอกเศกสรรค์ บัวเรือง ประธานสหกรณ์ตำรวจจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้เข้ามาให้คำปรึกษาและช่วยทำเรื่องปรับโครงสร้างหนี้ให้ เพื่อให้สามารถผ่อนไหว และดำรงชีพได้
ส่วนเรื่องเก่าในอดีต ที่สารวัตรวิริยะ ต้องใช้หนี้แทนเพื่อนตำรวจ 2 นาย ที่ถูกไล่ออกจากราชการ และเสียชีวิตไปนั้น เป็นหน้าที่ของสารวัตรวิริยะเองที่จะต้องไปไล่ฟ้องร้องทางกฎหมาย เนื่องจาก เป็นกฎระเบียบที่สารวัตรวิริยะ ไปค้ำประกันให้ ซึ่งเจ้าตัวรู้อยู่แล้ว แต่ตนเองจะให้เจ้าหน้าที่สหกรณ์ตำรวจจังหวัดพระนครศรีอยุธยาช่วยให้คำปรึกษาในการฟ้องร้องให้อีกทาง
ส่วนเรื่องเงินบริจาคที่สังคมช่วยเหลือ ก็จะมีคณะกรรมการหรือตัวแทนเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของสารวัตรวิริยะ ช่วยดูแลจัดสรรเงินบริจาคทั้งหมดให้กับน้องช่อฟ้า และน้องอีกคน เพื่อเป็นทุนการศึกษาตามวัตถุประสงค์ที่ประชาชนช่วยเหลือเท่านั้น และตัวสารวัตรวิริยะ และภรรยา ได้ตกลงกันแล้วว่า เงินบริจาคดังกล่าว พ่อแม่จะไม่ขอยุ่งเกี่ยว
นอกจากนี้ ท่านผู้การฯยังแจ้งให้ทราบว่า หลังออกข่าวไป ทางคณะอาจารย์มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าธนบุรี ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่น้องช่อฟ้าสอบติด ได้ติดต่อผ่านตนเอง เพื่อขอให้ความช่วยเหลือเรื่องทุนการศึกษาแล้ว ซึ่งตนเองและครอบครัวสารวัตรวิริยะ ขอขอบคุณคนไทยทุกคนที่ให้ความช่วยเหลือ และย้ำอีกครั้งว่า ขณะนี้ทางครอบครัวขอหยุดรับบริจาคเงินแล้ว เนื่องจากเพียงพอสำหรับใช้เป็นทุนการศึกษากับเด็กทั้ง 2 คนแล้ว
ทีมข่าวยังได้พูดคุยกับน้องช่อฟ้า หรือ นางสาวพาณิภัค เจิมจำนงค์ อายุ 19 ปี ลูกสาวของสารวัตรวิริยะ เปิดใจกับทีมข่าวว่า ตนเองไม่คิดเลยว่าคนไทยจะโอนเงินบริจาคช่วยเหลือครอบครัวตนเองมากขนาดนี้ ซึ่งเมื่อคืนนี้หลังจากตนเองให้สัมภาษณ์กับช่อง 8 ก็ได้นอนหลับปกติ เมื่อตื่นขึ้นมาเปิดดูในโทรศัพท์พบว่า มีผู้ใจบุญโอนเงินมาให้กว่า 1 ล้านบาท ตอนนั้นรู้สึกตกใจทำอะไรไม่ถูก และไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะตนเองเมื่อวานนี้ที่ให้ข่าวไป ตนเองขอเพียงได้เงินจำนวนหนึ่ง เพื่อนำไปซื้อโน๊ตบุ๊ก และซื้อชุดนักเรียนใส่ เพื่อใช้ในการเรียนต่อมหาวิทยาลัยเท่านั้น
ตนเองสัญญาว่า จะนำเงินทุกบาททุกสตางค์ที่ประชาชนมอบให้ด้วยน้ำใจนำไปใช้เป็นทุนการศึกษา และค่าดำรงชีพให้คุ้มค่าที่สุด “หนูขอสัญญาว่า หนูจะเป็นเด็กดี จะตั้งใจเรียนหนังสือ มีการงานที่ดี มีเงินเดือนเยอะๆ เพื่อจะเลี้ยงดูพ่อแม่และน้องชายและเป็นเสาหลักของครอบครัวต่อไปในอนาคต
และสัญญาว่า เมื่อหนูโตขึ้น จะนำความรู้ที่ได้รับตอบแทนประเทศชาติ และตอบแทนประชาชนทุกคน เหมือนกับที่ประชาชนใจดี มีน้ำใจมอบเงินช่วยเหลือ ให้โอกาสเด็กคนนี้ได้ทำตามความฝัน”
นอกจากนี้ ทีมข่าวยังได้พูดคุยกับ นายศักดา ครองทอง อายุ 49 ปี และนายสุริยันต์ จันทร์ภูชงค์ อายุ 38 ปี 2 ช่างไฟฟ้าชาวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่วันนี้ทั้งสองได้เดินทางมาติดตั้งระบบไฟฟ้า และเปลี่ยนหลอดไฟให้ที่บ้านพักตำรวจของสารวัตรวิริยะให้ใหม่ทั้งหมด โดยทั้งสองบอกกับทีมข่าวว่า เมื่อคืนนี้เวลาประมาณตี 5 ตนเองได้ตื่นขึ้นมาและเปิดดูข่าวจากยูทูบ ในรายการลุยชนข่าว ข่าวช่อง 8
เมื่อเห็นข่าวของสารวัตร จึงเปิดเข้าไปดู และเมื่อดูจบตนเองรู้สึกสงสารสารวัตรมาก เพราะยศเป็นถึงพันตำรวจโท แต่กลับต้องมาใช้ชีวิตลำบากไม่เหมือนนายตำรวจคนอื่นๆ ในยศตำแหน่งเดียวกัน ซึ่งฟังจากข่าว สารวัตรไม่เคยเรียกรับเงินสีเทา แต่ตั้งใจทำอาชีพสุจริตมาตลอด ช่วยเมียขายข้าวกล่อง บ้านสารวัตรก็โดนฟ้าผ่าไฟดับ ต้องหนีมานอนรวมกันชั้นล่างของบ้าน และประกอบกับตนเองมีลูกสาวด้วย จึงรู้สึกสงสาร และอยากจะมาช่วยเหลือ
พวกตนเองมีความสามารถเป็นช่างไฟฟ้าอยู่แล้ว จึงได้ขับรถตามพิกัดในข่าวมาที่บ้านสารวัตรตั้งแต่ 7 โมงเช้า และอาสาขอติดตั้งระบบไฟ และเปลี่ยนหลอดไฟในบ้านให้ใหม่ทั้งหมด เพราะ เห็นจากข่าวสภาพสายไฟก็เก่ามาก หากปล่อยไว้ไฟลัดวงจร ไฟไหม้บ้านก็จะซวยอีก ซึ่งตนเองได้ทำตั้งแต่ 7 โมงเช้า และเพิ่งเสร็จตอนบ่าย 2
เมื่อทำเสร็จตนเองดีใจมากที่มีส่วนช่วยเหลือสังคม ค่าติดตั้งค่าของทั้งหมดหมดไปประมาณ 30,000 บาท แต่ตนเองก็ไม่เสียดาย เพราะทำด้วยใจ ตนเองก็ไม่ใช่คนรวยอะไร พอมีพอกิน แต่ก็อยากจะช่วยเหลือ เพราะตนเองคือคนไทย คนไทยไม่ทิ้งกันอยู่แล้ว
ต่อมาทีมข่าวช่อง 8 ยังได้พูดคุยกับพันตำรวจโทวิริยะ เจิมจำนงค์ นายตำรวจระดับสารวัตรกองอำนวยการ ของกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา บอกกับทีมข่าวว่า ตนเองขอขอบคุณผู้บังคับบัญชาทุกระดับชั้นที่ให้ความช่วยเหลือและแสดงความห่วงใยมาถึงตนเอง
ในอดีตตนเองยอมรับในความผิดพลาดที่เป็นคนค้ำประกันให้กับเพื่อนตำรวจสองนายทำให้ตนเองต้องรับภาระหนี้สินจ่ายแทนตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นบทเรียนสำคัญของชีวิต ที่ผ่านมาตนเองถูกหักเงินอัตโนมัติเพื่อชดใช้หนี้ที่ตัวเองไม่ได้ก่อเหตุ บางเดือนเคยเหลือเงินติดบัญชี 70 บาท ก็ต้องไปกู้หนี้ยืมสินมาใช้หนี้เขาอีก
ตลอด 5 ปี ตนเองต้องยอมทำทุกอย่างเพื่อหาเงินเลี้ยงดูครอบครัวให้ทุกคนไปรอด เคยตกต่ำถึงขั้นเก็บขยะขายก็ทำมาแล้ว ทุกวันนี้ตนเองรับจ้างเป็นพิธีกร รับจ้างเข้าเวร งานรับจ้างทุกอย่างที่ทำแล้วได้เงินตนเองทำหมด ขอให้ไม่ใช่เป็นเงินสีเทา หรือ เป็นเงินที่รีดไถ เรียกเก็บกับประชาชน ตนเองยอมทำหมดเพื่อลูกๆ
และที่สำคัญ “ผมเลือกที่จะไม่รับเงินผิดกฎหมาย ผมเลือกที่จะหยิบเงินสีขาวที่ได้จากหยาดเหงื่อของผมมากกว่า ก่อนหน้านี้ผมเคยเป็นสารวัตรจราจร หากผมจะรีดไถเงินจากประชาชน ผมทำได้ง่ายนิดเดียว ผมแค่สตาร์ทรถอยู่แถวแยกไฟแดง รอคนขี่รถฝ่าไฟแดงแป๊บเดียว 100-200 บาท ผมก็ได้เงินแล้ว แต่ผมเลือกที่จะไม่ทำ เพราะอาชีพของผม คือ “ตำรวจ” ตำรวจซึ่งมีหน้าที่ดูแล รักษาชีวิต รับใช้และบริการประชาชน ทุกอย่างเพื่อประชาชน”
ทีมข่าวถามต่อเรื่องเงินบริจาคทั้งหมดจะเอาอย่างไรต่อไป สารวัตรบอกว่า “เรื่องของผม หนี้สินของผม ผมจะพยายามแก้เอง โดยล่าสุดตอนนี้ท่านผู้การฯ ได้ให้ตนเองทำบันทึก ส่งคำร้องถึงสหกรณ์ตำรวจ เพื่อขอปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งตนเองหวังว่า จะมีการปรับโครงสร้างหนี้ให้ตนเองได้พอเหลือเก็บเงินไว้ดำรงชีพบ้าง
ส่วนสิ่งที่คนไทยมอบให้ คือ เงินบริจาคซึ่งเป็นทุนการศึกษาให้กับลูกทั้งสองคนของผม ผมสัญญาไว้แล้วว่า ผมจะไม่ยุ่งตัวเงินบริจาคทั้งหมด และจะให้ผู้บังคับบัญชาตั้งคณะกรรมการในการเบิกจ่ายใช้เงินให้กับลูกสาวและลูกชายเพื่อเป็นทุนการศึกษาให้คุ้มค่าที่สุด ส่วนหนี้ที่ผมต้องชดใช้ ผมจะพยายามแก้ด้วยตัวผมเอง