ลูกชายคนเจ็บ เหยื่อทางเลื่อนสนามบินดอนเมืองเล่าวินาทีบีบหัวใจ แต่ตอนนี้ขอโฟกัสการรักษาแม่
30 มิ.ย. 66 นายกฤตย์ กิตติรัตนา ลูกชายของ น.ส.สุพรรณี กิตติรัตนา ผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์ทางเลื่อนสนามบินดอนเมืองดูดขา ได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว kit kit ระบุว่า สวัสดีครับทุกท่าน ผมเชื่อว่าหลายๆท่านคงได้ข่าวกรณีผู้โดยสารหญิงประสบอุบัติเหตุบนทางเลื่อนที่สนามบินดอนเมืองจนทำให้ขาขาด ซึ่งเป็นประเด็นที่สังคมกำลังให้ความสนใจอยู่ในขณะนี้ ผู้โดยสารหญิงท่านนี้คือคุณแม่ของผมเองครับ
ก่อนอื่นทางครอบครัวต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ให้กำลังใจกันอย่างล้นหลามครับ กำลังใจคือสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับครอบครัวในตอนนี้จริงๆ คือเมื่อวานคือวันที่เกิดเรื่อง ทางครอบครัวอยู่ในความตกใจและเศร้าเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่เราก็ต้องรีบตั้งสติและบริหารจัดการวิกฤตนี้ที่เกิดกับขอบครัวเราให้เร็วและดีที่สุด
หลังเกิดอุบัติเหตุ พวกเรายังไม่ได้พูดคุยกับถึงรายละเอียดที่เกิดขึ้นกับคุณแม่ แต่โฟกัสไปที่การรักษาเพื่อกู้ภาวะวิกฤตของคุณแม่เป็นความสำคัญอันดับแรกเนื่องจากคุณแม่เสียเลือดมาก จึงยังไม่ได้มีโอกาสในการได้ออกมาให้สัมภาษณ์หรีอตอบคำถามสื่อที่ติดต่อเข้ามาทางครอบครัวอย่างเป็นทางการณ์ ตอนนี้เราเริ่มตั้งสติกันได้บ้างแล้ว เลยอยากมาให้ข้อมูลเบื้องต้น เป็นอุทาหรณ์สำหรับทุก ๆ คน ผ่านจดหมายเปิดผนึกฉบับนี้ครับ
ตอบยอมรับครับว่าเหตุการณ์ที่บีบหัวใจครั้งนี้มันยากกับครอบครัวเราจริงๆ ยังคงตกใจและเสียใจทุกครั้งที่เห็นข่าวหรือตอนคิดถึงอาการของคุณแม่ แต่พวกเรายังต้องสู้ครั้บเพราะคุณแม่ก็กำลังสู้อยู่เหมือนกัน
เมื่อวานเหตุเกิดในช่วงเช้าและคุณแม่ได้รับการผ่าตัดในช่วงเย็นที่โรงพยาบาลบำรุงราษฏ์ โรงพยาบาลที่ครอบครัวและคุณแม่มีประวัติรักษาอยู่ ทางครอบครัวต้องขอขอบพระคุณทีมงานแพทย์ทุกๆท่าน ตั้งแต่ที่สนามบินดอนเมือง โรงพยาบาลภูมิพล และ โรงพยาบาลลบำรุงราษฏ์ ที่ช่วยชีวิตคุณแม่ผมเอาไว้
คุณแม่ออกจากห้องผ่าตัดเมื่อวานในช่วงค่ำ ผลผ่าตัดเป็นที่น่าพึงพอใจในขั้นต้น แต่ก็ยังเร็วเกินไปที่จะสรุปว่าจะเป็นการผ่าตัดครั้งสุดท้ายของคุณแม่ ทางทีมแพทย์แจ้งว่าเรายังคงต้องรอดูอาการ และภาวนาให้ไม่มีอาการติดเชื้อ หรือเนื้อตาย ซึ่งจะต้องทำให้เราต้องผ่าเปิดแผลคุณแม่และตัดเนื้อของคุณแม่ออกมาอีก กว่าจะทราบผลคงต้องรอเวลาอีกหลายวัน
สภาพกำลังใจของคุณแม่อยู่ในเกณฑ์ที่น่าเป็นห่วง เราได้มีโอกาสได้พูดคุยกับท่านนิดหน่อยทั้งก่อนและหลังการผ่าตัด เนื่องจากท่านยังต้องพักในห้องปลอดเชื้อ คุณแม่ยังแสดงความเข้มแข็งออกมาจากทั้งทางสีหน้าและน้ำเสียง แต่เราก็ทราบดีในใจลึกๆ ของท่านแตกสลาย เพราะอยู่ๆ ก็ต้องเสียขาไป
ทางครอบครัวได้มีการขอภาพกล้องวงจรปิดจากทางสนามบินแต่ยังไม่ได้รับ คาดว่ากำลังผ่านกระบวนการหลายขั้นตอน
สิ่งที่ต้องยอมรับว่าครอบครัวกังวลมากที่สุดจริงๆในเวลานี้คือสภาพจิตใจของคุณแม่ และการชีวิตของคุณแม่ในระยะยาว เพราะครอบครัวทราบดีว่าเราไม่สามารถทำให้ขาของคุณแม่กลับมาเหมือนเดิม หรือแม้กระทั่งจะทำให้ชีวิตของคุณแม่กลับมาเหมือนเดิมได้ ทางครอบครัวได้มีขอให้คุณหมอช่วยพิจารณาจัดทีมนักจิตวิทยาเพื่อเข้าช่วยเหลือเยียวยาคุณแม่ในเบื้องต้น เป็นสิ่งเราต้องพยายามให้ดีที่สุดให้กับท่าน
คุณแม่ร้องไห้ ไม่ใช่เพราะอาการเจ็บแผล แต่เพราะยังจินตนาการถึงชีวิตที่มีขาข้างเดียวไม่ได้ ทางครอบครัวจึงหลีกเลี่ยงการพูดถึงเหตุการณืที่เกิดขึ้นที่สนามบินดอนเมืองกับคุณแม่มากที่สุด และปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องของทางสนามบิน จัดการในเรื่องสืบค้นสาเหตุต่อไป ซึ่งทางครอบครัวหวังว่าจะเป็นไปด้วยความโปร่งใสและเที่ยงธรรม
ผมเองในฐานคนเป็นลูก โดยเฉพาะตอนที่พบคุณแม่ครั้งแรกหลังเกิดเหตุการณ์ ภาพที่เห็นคือเจ้าหน้าที่ถือกล่องโฟมที่ใส่ขาคุณแม่ลงมาจากรถฉุกเฉิน แยกออกมาจากตัวคุณแม่ที่นอนอยู่บนเปลรถเข็น มันเป็นความรู้สึกที่ผมไม่สามารถอธิบายได้จริงๆครับ
ครอบครัวยังคงภาวนาให้แผลผ่าตัดของคุณแม่ ไม่มีอาการติดเชื้อ และเป็นการผ่าตัดครั้งสุดท้ายของคุณแม่ นอกเหนือจากนี้ครอบครัวยังไม่ขอคิดสิ่งอื่นใด เพราะถึงครอบครัวของเราจะไม่ได้เหมือนเดิมหลังจากเหตุการณ์นี้แต่เราจะต้องสมาชิกครอบครัว"ครบ"เท่าเดิมครับ