จากกรณีนายธนบัตร ขี่มอเตอร์ไซค์ไปกับนายบัง น้องชาย ก่อนที่นายธนบัตรจะถูกยิงเสียชีวิต ต่อมาตำรวจจับตัวนายพิทักษ์ไปดำเนินดคี แต่มาทราบภายหลังว่านายพิทักษ์ไม่ได้เป็นผู้ก่อเหตุ อีกทั้งคนเห็นเหตุการณ์ยืนยันไม่ได้ชี้ตัวนายพิทักษ์เป็นผู้ก่อเหตุ ทำให้ดำเนินคดีผิดตัว
จากนั้นครอบครัวของนายพิทักษ์ ได้ร้องเรียนและเรียกค่าเสียหายครอบครัวของนายธนบัตร จำนวน 60,000 บาท
ล่าสุด ตำรวจติดตามจับตัวผู้ก่อเหตุได้แล้ว คือ นายพงศพัฒน์ อายุ 19 ปี และนายนนทา อายุ 14 ปี ในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา
และทันทีที่ครอบครัวของคนตายทราบเรื่องก็ได้เดินทางมาที่สน.หนองจอก เพื่อติดตามความคืบหน้า และอยากจะเห็นหน้าของผู้ต้องหาตัวจริง เพราะมีความกังวลใจว่ากลัวจะมีการจับแพะเหมือนเช่นครั้งก่อน จึงได้พากันเดินทางมารวมตัวกันไม่ต่ำกว่า20คน บริเวณโต๊ะหินอ่อนด้านหน้าของสน.
ทีมข่าวได้พูดคุยกับนางสาวซำซูรีย์ อายุ39ปี แม่ของนายธนบัตรคนตาย เปิดเผยว่า ในวันนี้ที่มีญาติพากันเดินทางมาติดตามความคืบหน้าที่โรงพัก เป็นเพราะต้องการที่อยากจะเห็นหน้านายพงศพัฒน์และนายนนทาผู้ต้องหาที่มีการจับกุมตัวได้ เพื่อยืนยันว่าไม่ใช่แพะอีก เพราะเนื่องจากรองผู้กำกับฝ่ายสอบสวนได้มีการติดต่อไปยังครอบครัวเพื่อแจ้งว่าจับกุมตัวได้ครบหมดแล้ว จึงอยากจะเดินทางมาเพื่อสอบถามว่าทำไมต้องมีการยิงกันถึงตาย และมีชนวนเหตุเกิดจากอะไรกันแน่ แต่โดยเบื้องต้นทราบแต่ข้อมูลจากตำรวจ แต่ยังไม่ได้เจอครอบครัวหรือเจอตัวของผู้ต้องหา
นางสาวซำซูรีย์ เผยอีกว่า สำหรับกรณีที่ตำรวจมีการแจ้งข้อกล่าวหานายบู้ จนกระทั่งถูกตกเป็นแพะในคดีก่อนหน้านี้ แล้วตำรวจยืนยันว่าครอบครัวของตนเองโดยเฉพาะนายบังหรือนายลิฟ เป็นคนชี้ตัว2ครั้ง นั้น ตนเองยืนยันว่าทุกครั้งที่มีการสอบปากคำและพามาชี้ตัว ครั้งแรกมีการชี้จากบัตรประจำตัวประชาชน โดยมีการเอารูปของผู้ต้องหาและผู้ต้องสงสัย4รูป เป็นรูปประพรรณสัณฐาน ของผู้ต้องสงสัยและคนร้าย มาให้ลูกชายเป็นคนชี้ แต่วันนั้นยอมรับว่าภาพที่นำมาให้ดูเป็นภาพจากระบบทะเบียนราษฏ์และมีการถ่ายเอาไว้ต่อที่ทุกคนหน้าตายังเด็กๆ ทำให้ครั้งแรกที่มีการชี้จากภาพลูกชายชี้ผิด เนื่องจากใบหน้าของนายบู้ มีความใกล้เคียงกับนายฮัทหรือนนทา , จนกระทั่งครั้งที่2 ตำรวจมีการควบคุมตัวนายบู้มา ในวันนั้นตำรวจให้มีการชี้ตัวยืนยัน แต่ลูกชายคือนายบังหรือนาบลิฟ ไม่ได้มีการชี้ เพราะตัวของนายบู้ไม่ใช่ผู้ต้องหาหรือคนก่อเหตุ แต่สุดท้ายแล้วนายบูถูกแจ้งข้อกล่าวหา ตนเองก็แปลกใจเหมือนกันว่าทำไมถึงมีการแจ้งข้อกล่าวหาบุคคลดังกล่าว ทั้งที่ลูกชายยืนยันตั้งแต่แรกว่าคือนายดิ้น กับนายฮัท
ทั้งนี้ หลังจากที่มีการแจ้งข้อกล่าวหาผิดทำให้นายบู้กลายเป็นแพะ แล้วครอบครัวของแพะดันเรียกค่าเสียหายจำนวน 60,000 บาทจากตนเอง โดยเรื่องนี้ตนเองตั้งข้อสังเกตว่าอาจเป็นความผิดพลาดจากกระบวนการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่เมื่อมีการแจ้งข้อกล่าวหาแล้วตนเองกลับต้องมีการชดใช้ค่าเสียหาย ซึ่งตอนนี้ก็กำลังรอความเป็นธรรมจากกระทรวงยุติธรรมอยู่ หากได้เงินจำนวนดังกล่าวแล้วก็จะดำเนินการจ่ายครอบครัวของแพะทันที
ขณะที่นายบังหรือลิฟ น้องชายของคนตาย ในฐานะคนที่อยู่ในคืนวันเกิดเหตุเปิดเผยว่า ยอมรับว่า ตนเองกับกลุ่มคนก่อเหตุมีเรื่องกันมาก่อน แต่ก็ไม่ได้รุนแรงถึงขั้นทำร้ายกัน เพียงแค่กระทบกระทั่งกันเท่านั้น แต่ในวันนั้นมีการเผชิญหน้ากัน จึงทำให้เกิดเรื่องขึ้น แล้วตอนที่ขับรถไปเจอกันด้วยความบังเอิญ ตนเองก็ได้มีการเตือนพี่ชายคนตายว่า “ระวัง” แต่ก็ไม่คิดว่าฝั่งของนายฮัทและในดิ้นจะเอาปืนออกมายิง
ขณะเดียวกันหลังจากที่คดีมีการแจ้งข้อกล่าวหานายบู้จนกระทั่งกลายเป็นแพะ ตนเองในฐานะคนที่เป็นพยานเป็นคนชี้ยืนยัน ยอมรับว่าตำรวจมีการเรียกมาสน.หนองจอก2ครั้ง โดยครั้งแรก ตำรวจได้มีการปริ้นภาพจากระบบทะเบียนราษฎร์ โดยจะเห็นเฉพาะทรงผมและตำหนิคือไฝบนใบหน้า เอามากลางเอาไว้บนโต๊ะ แล้วให้ตนเองเป็นคนชี้ ซึ่งในวันนั้นยอมรับว่าภาพมีความใกล้เคียงและคล้ายกัน จึงทำให้เกิดความสับสน โดยตนเองมีการชี้นายบู้ ซึ่งใกล้เคียงกับนายฮัท จึงทำให้ตำรวจได้ไปเชิญตัวนายบู้ แพะมาที่สน. จากนั้นเมื่อตำรวจประสานให้ตัวเองมาชี้ตัวยืนยันอีกครั้ง ปรากฏว่าไม่ตรงกัน เพราะเนื่องจากคนที่ก่อเหตุไม่ใช่นายบู้ แต่เป็นนายฮัท ตนเองจึงไม่ยืนยันในรอบที่2 แต่ไม่รู้กระบวนการของตำรวจว่าหลังจากนั้นไปเชื่อมโยงอะไร จนกลายเป็นแจ้งข้อกล่าวหานายบู้ แล้วตนเองก็รู้สึกเครียดและกังวลใจอย่างมาก ที่หลังจากคดีนี้มีแพะ แล้วครอบครัวของตนเองต้องไปจ่ายชดใช้ให้กับครอบครัวของแพะกว่า 60,000 บาท
นางสาวดาว (นามสมมติ) แม่ของนายพงศพัฒน์ (ดิ้น) ผู้ต้องหา เปิดเผยว่า ในวันเกิดเหตุตัวของนายนนทาหรือฮัท ได้ขับรถมอเตอร์ไซค์มาหาลูกชายของตนเองที่บ้าน พร้อมกับชักชวนว่าจะให้ไปรับแฟนสาวเป็นเพื่อน ซึ่งลูกชายก็ด้วยความเจตนาดีจึงเป็นคนขับรถมอเตอร์ไซค์พานายนนทาไป แต่ระหว่างทางปรากฏว่าไปประเชิญหน้ากับนายแป๊ะและนายบังลิฟ จึงทำให้ตัวของนายนนทามีการชักอาวุธปืนที่เตรียมไปด้วย มีการก่อเหตุยิง จนทำให้นายแป๊ะถึงแก่ความตาย ก่อนที่จะพากันหลบหนี
ซึ่งนับตั้งแต่วันที่ลูกชายของตนเองขับรถมอเตอร์ไซค์ให้กับนายนนทา ไปก่อเหตุยิงเสร็จ เจ้าตัวก็ไม่ได้กลับมาที่บ้านอีก ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร เนื่องจากติดต่อไม่ได้ จนกระทั่งมารู้ภายหลังว่าเจ้าตัวหนีไปอยู่บ้านญาติของนายนนทา ซึ่งอยู่ในพื้นที่จังหวัดพิจิตร
โดยนับตั้งแต่ลูกชายหายไปจนกระทั่งกลับมาเมื่อวานนี้ ซึ่งตนเองก็ถามว่าไปอยู่ที่ไหนมา เจ้าตัวบอกว่าหนีความผิดจึงพากันไปอยู่บ้านญาติของนายนนทาในจังหวัดพิจิตร และลูกชายได้ตัดสินใจหนีขึ้นรถตู้กลับมา เพื่อที่จะมาเล่าความจริงให้ที่บ้านฟัง โดยตนเองก็ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับพฤติกรรมที่ไปร่วมก่อเหตุ จึงเข้าใจว่าลูกชายไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง เป็นเพราะขับรถพามือปืนไปยิง จึงตัดสินใจพาลูกมามอบตัว แล้วถูกแจ้งข้อกล่าวหาตามขั้นตอนของกระบวนการของกฎหมาย แต่ส่วนนายนนทาซึ่งเป็นมือปืน ที่พาลูกชายออกไปจากบ้าน ไปถูกจับกุมได้ที่จังหวัดพิจิตรภายหลัง
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ ตนเองก็ไม่คิดว่าลูกชายของตัวเองจะถูกแจ้งข้อกล่าวหาไปด้วย เพราะเข้าใจว่ามีการชักชวนออกไปรับแฟนสาว แต่ไม่ได้มีเจตนาที่จะพากันไปยิงใครตาย แต่ในเมื่อถูกแจ้งข้อกล่าวหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ก็ต้องมีการต่อสู้ตามกระบวนการของกฎหมาย แต่ยืนยันว่าจะไม่มีการประกันตัว
ขณะเดียวกันนี้ ทีมข่าวได้ไปพบนายประสิทธิ์ อายุ61ปี ปู่ของนายฮัทผู้ต้องหา เจ้าตัวเปิดใจพร้อมน้ำตา ว่า ตนเองอยากจะขอโทษไปยังครอบครัวของคนตาย และอยากจะให้ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการของกฎหมาย เพราะตนเองก็ไม่รู้มาก่อนว่าหลานชายจะไปก่อเหตุแบบนี้ หลังจากที่ก่อเหตุแล้วก็พากันหลบหนีไปที่บ้านญาติในจังหวัดพิจิตร จนกระทั่งมารู้ความจริงภายหลังว่าหลานชายเป็นคนยิง ก็ทำใจไม่ได้เหมือนกัน และที่สำคัญ ตนเองสงสารตำรวจชุดทำคดี ที่ทำงานลำบาก จับคนบริสุทธิ์เป็นโจรไปแล้ว1ครั้ง
นายประสิทธิ์ เผยอีกว่า สำหรับเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ วันที่หลานไปก่อเหตุยิงนายแปะมา ที่บ้านไม่มีใครรู้ เพราะหลังจากที่ไปก่อเหตุแล้วกลับมาบ้านมีท่าทีลุกลนพูดแต่เพียงว่าจะไปอยู่ที่อื่น ซึ่งมารู้อีกทีจากญาติว่าเจ้าตัวนั่งรถไปอยู่ด้วยที่จังหวัดพิจิตร จนกระทั่งมีนายพงศพัฒน์หรือดิ้น เจ้าตัวตัดสินใจนั่งรถกลับมาเพื่อมาเล่าความจริงให้ญาติฟังจนกระทั่งไปมอบตัวกับตำรวจ หลานชายจึงถูกจับในเวลาต่อมา และครอบครัวถึงเพิ่งรู้ว่าเป็นมือยิง แต่ก่อนหน้านี้ไม่มีตำรวจคนใดเข้ามาสอบถามที่บ้าน ก็เลยไม่มีใครรู้ว่าหลานชายเป็นมือปืน
นอกจากนี้ ปู่ของผู้ต้องหา ยังมีการเผยถึงเรื่องอาวุธปืนว่า ก่อนหน้านี้หลานชายเคยมาเปิดใจเล่าให้ฟังประมาณ1เดือน ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ยิงคนตาย ซึ่งตัวของหลานชายไปมีเรื่องกับฝั่งของบังลิฟน้องชายคนตาย โดยมีลักษณะไล่ยิงกันมาแล้ว โดยหลานชายได้มีการเอาภาพมาเปิดให้ดูว่าจะมีการซื้อปืนจำนวน 6,000 บาทเก็บเอาไว้เพื่อป้องกันตัว แต่ตัวเองกลัวว่าจะมีเรื่องจึงไม่ได้ให้เงินหลาน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าปืนกระบอกล่าสุดเที่ยวไปก่อเหตุไปยืมมาจากใคร ฉะนั้นตนเองจึงยืนยันว่าไม่เคยสนับสนุนให้หลานใช้ความรุนแรง และไม่คิดด้วยซ้ำว่าหลานจะไปยืมปืนใครมายิงคนอื่นตายแบบนี้