เกาะประเด็นร้อนทางการเมือง โดยเฉพาะการจับตาการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 13 ก.ค. 66
ด้านรศ.ดร.เจษฎ์ โทณะวณิก นักวิชาการทางกฎหมาย ถึงกรณีวันพรุ่งนี้ที่มีการประชุมรัฐสภาเพื่อโหวตเลือกนายกฯ ในวันที่ 13 กรกฎาคมนี้
โดยประเด็นแรกที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประกาศวางมือทางการเมือง ลาออกจากสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ ตนมองว่าไม่ใช่การวางมือทางการเมือง แต่เป็นการเปิดประตูสู่เส้นการเมือง เพราะแม้พล.อ.ประยุทธ์ตั้งใจจะวางมือ แต่ก็ยังมีชื่อที่ถูกเสนอเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ก็ไม่ได้ปฏิเสธชื่อตนที่ถูกเสนอ และยังเป็นการลดเงื่อนไขทางการเมืองที่อาจเปิดโอกาสให้พล.อ.ประยุทธ์ ขึ้นสู่ตำแหน่งอีกครั้งก็ได้ เช่นหากพรรคก้าวไกลได้เป็นนายกรัฐมนตรีจริง แล้วเกิดการบริหารงานต่อไม่ไหว ก็มีสิทธิ์ที่พรรครวมไทยสร้างชาติ อาจจะหวนกลับมาสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยรวมกับพรรคเพื่อไทย เพราะก่อนหน้านี้พรรคเพื่อไทยแสดงเจตนารมณ์ว่าไม่เอาพลเอกประยุทธ์
แต่ตอนนี้พลเอกประยุทธ์วางมือทางการเมือง ก็อาจทำให้เงื่อนไขที่พรรคเพื่อไทย จะมารวมน้อยลงและมีความเป็นไปได้ จึงมองว่าไม่ได้เป็นการเปิดทางให้พลเอกประวิตร แต่เป็นการปูทางเส้นทางการเมือง ที่อาจทำให้อยู่ในตำแหน่งรัฐบาลอีกครั้ง เพราะตอนนี้พรรคเพื่อไทยเนื้อหอม หากพรรคใดจะได้เป็นรัฐบาล ต้องได้รับเสียงสนับสนุนจากพรรคเพื่อไทยเท่านั้น
ส่วนประเด็นที่2 หากคุณพิธาไม่ได้รับการโหวตเป็นนายกรัฐมนตรี จะเกิดแรงกระเพื่อมจากสังคมที่เลือกตั้งโหวตให้คุณพิธา เป็นนายกรัฐมนตรีก่อนหน้านี้หรือไม่ ตนก็มองว่าม็อบลักษณะนี้กดดันการตัดสินใจส.ว.ไม่ได้ เพราะยังคงมีม็อบบางกลุ่มที่ออกมาและแสดงเจตนารมณ์ว่ายังไงต้องเอามาตรา112 อาจทำให้ส.ว. บางคนมองว่ายิ่งจะต้องกระชับพื้นที่ ยิ่งต้องไม่เลือกคุณพิธา แล้วถ้าม็อบจะไปคุกคามไม่ให้ส.ว.มีพื้นที่หรือมีจุดยืน ก็อาจมองว่าตัวส.ว.เลือกเพื่อแผ่นดิน เพราะมีคนเพียง 20 ล้านเสียงที่เลือกพิธา แต่อีก 40 ล้านเสียงเขาไม่ได้เลือก อาจทำให้ไม่มีทางออก เพราะท้ายที่สุดก็ต้องเป็นไปตามกลไกของรัฐสภา
ซึ่งระดับการชุมนุมประท้วง เชื่อว่ายกระดับคนเพิ่มขึ้น เพราะเย็นนี้ก็มีคนมารวมตัวกดดันส.ว. ซึ่งพรุ่งนี้ตนก็คิดว่ามีคนเพิ่มขึ้นมากกว่าวันนี้ แต่หากเพิ่มแค่จำนวนคน แต่ไม่มีการยกระดับความรุนแรง ตนคิดว่าเป็นการชุมนุมแบบมาแล้วไป หรือที่เรียกว่า แฟลชม็อบ แต่ถ้ามีการไปทุบหรือเผาตามสถานที่ราชการต่างๆเพื่อกดดัน อันนี้ก็เป็นปัญหา
ขณะที่ประเด็นที่3 หลังศาลรัฐธรรมนูญ "รับคำร้องทางธุรการ" วินิจฉัยสมาชิกภาพ ส.ส. ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคก้าวไกล (ก.ก.) สิ้นสุดลงหรือไม่ กรณีถือครองหุ้นสื่อไอทีวี พร้อมรับคำร้องวินิจฉัยกรณีคุณพิธา และพรรคก้าวไกล หาเสียงเลือกตั้งด้วยการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ หรือไม่ โดยให้ทำคำชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วัน ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงจะเป็นการเปิดเส้นทางให้พรรคเพื่อไทยก้าวมาสู่การเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลหรือไม่
ตนยืนยันว่า ระบบรัฐสภาไม่ใช่เป็นระบบกลไก พรรคที่ได้คะแนนเสียงลำดับหนึ่งหรือได้มากที่สุดจะต้องได้เป็นรัฐบาลนั้น คนที่ได้คะแนนเสียงมากเป็นลำดับหนึ่งมีสิทธิ์ก่อนในการจัดตั้งประชุมรัฐสภา หรือมีโอกาสในการชักชวนผู้คนมาจัดตั้ง และหลังจากนั้นคือ2,3,4 ซึ่งบางประเทศพรรคที่ได้เสียงจากประชาชนเป็นลำดับที่สามก็เคยจัดตั้งรัฐบาลมาแล้ว
จึงไม่แปลกหากพรรคเพื่อไทยอาจมาจัดตั้งรัฐบาลเอง แต่ตอนนี้มีปัจจัยอื่น เพราะ1.มีส.ว.ค้ำอยู่ ต้องเอาเสียงข้างมากของรัฐสภา 2. พรรคเพื่อไทยต้องแสดงสปิริต เพราะพรรคนั้นได้เสียงมากกว่าก็ต้องไปอยู่ร่วมด้วย และ3. สถานการณ์ยังไม่เอื้อพอให้พรรคเพื่อไทยจัดรัฐบาลเอง
โดยก่อนหน้านี้ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ วึ่งสนับสนุนพรรคก้าวไกล โดยให้สัมภาษณ์ในรายการยืนหนึ่งชิงนายกฯ เพราะเคยถามว่าถ้าวันหนึ่งพรรคก้าวไกลไม่ได้เป็นนายกฯ พรรคก้าวไกล จะคิดอย่างไร คุณธนาธรเคยพูดคำนึงว่าไม่เป็นอะไร
ซึ่งพรรคที่เข้าข่าย ที่จะเสนอชื่อชิงนายกรัฐมนตรีได้ หมายความว่าพรรคนั้นต้องมีส.ส. 25 คน โดยพรรคเพื่อไทย มี 3 คน คือ แพทองธาร ชินวัตร (อุ๊งอิงค์) , นายเศรษฐา ทวีสิน และนายชัยเกษม นิติสิริ ส่วนพรรคก้าวไกล มีนายพิธาคนเดียว , ส่วนพลังประชารัฐ มีแคนดิเดตนายกฯ 2 คน คือ พล.องประยุทธ์ จันทร์โอชา และ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค , ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ คือนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ , และพรรคภูมิใจไทย คือนายอนุทิน ชาญวีรกูล
ขณะที่ล่าสุดวันนี้ ทีมข่าวช่อง 8 มีโอกาสไปพูดคุยกับ อาจารย์ชัญญา ราชินีไพ่จิตสัมผัส บอกกับทีมข่าวว่า ไพ่ที่เปิดมาใบแรกคือ ไพ่ยูเทิร์น(ไพ่ดี) หมายถึง เรื่องราวเก่าๆ หรือคนที่เคยเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มาก่อน คนที่เคยทำหน้าที่เดิมๆ
ไพ่ต่อมา ไพ่จุดประกาย(ไพ่ดี) หมายถึงลองอีกสักตั้งนึง
ไพ่ชุดถัดมาอีก 3 ใบคือ 1.ไพ่ปิดตา (กลางๆ) 2.ไพ่มีความรู้แต่ลองลอย ไม่ได้ใช้ (ไพ่ไม่ดี) 3. ไพ่ดอกกุหลาบอยู่ตรงที่แตกแห้ง แต่สามารถอยู่รอดปลอดภัย (ไพ่ดี)
ไพ่ต่อมาคือ 1.มีเรื่องช็อกสายฟ้าฟาด (ไพ่ไม่ดี) 2.ไพ่มองไปคนละทาง (ไพ่ไม่ดี)สรุปเลยคือทีมเก่าหรือคนที่เคยมีอำนาจเดิมๆจะยูเทิร์นกลับมา แต่ก็ยังมี ความพยายามที่จะลองอีกสักตั้งหนึ่ง และเมื่อหยิบไพ่ใบสุดท้าย ได้ไพ่ที่บอกว่า มีการถูกจับตามองอยู่ถือว่าเป็นไพ่ที่ไม่ดี รวมแล้วจับไพ่มา 8 ใบ มีไพ่ดีอยู่ 3 ใบ ไพ่กลางๆ 1 ใบ และไพ่ไม่ดี 4 ใบ จากหน้าไพ่จะบอกได้ว่า ครั้งนี้อาจจะยังไม่ได้เป็นนายกฯ แต่จะยังมีโอกาสในครั้งต่อๆไป