วันนี้(12ก.ค.)ที่ประชุมกกต. มีมติให้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าสมาชิกภาพส.ส.ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส. บัญชีรายชื่อและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคก้าวไกลสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98 ( 3 )ประกอบมาตรา 101 ( 6 ) หรือไม่จากหตุมีชื่อถือครองหุ้นอบริษัทไอทีวี จำกัด มหาชน 42,000 หุ้น รวมทั้งมีคำขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพี่จารณาสั่งให้ยุติการปฏิบัติหน้าที่ส.ส. ไว้จนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉั หลังใช้เวลากว่า 3 วัน รับฟังและพิจารณาผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงขอสำนักงานกกต.แล้ว เห็นว่ามีข้อมูลพยานหลักฐานเพียงพอให้เชื่อว่ามีเหตุตามที่มีการยื่นคำร้องจริงโดย
นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานกกต.ได้ลงนามในคำร้องและมอบหมายให้เจ้าหน้าที่สำนักงานฯนำไปยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญทันที
ขณะเดียวกันมีรายงานว่าในส่วนของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้มีการนัดประชุมประจำสัปดาห์วันนี้ในช่วงบ่าย เวลา 13.00 น ซึ่งต้องจับตามองว่าสำนักงาน กกต. จะส่งคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญทันหรือไม่และ หากทันคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะมีการนำคำร้องดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาเลยหรือไม่
ขณะที่ร.ต.อ.ชนินทร้ น้อยเล็ก รองเลขาธิการ และ พ.ต.ต.ณัฐวัฒน์ เสงี่ยมศักดิ์ รองเลขาธิการ กกต. พร้อมเจ้าหน้าที่ กกต. นำคำร้อง พร้อมหลักฐาน 3 กล่อง มายื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ ตามมติของ กกต. ที่มีมติขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคุณสมบัตินายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส. บัญชีรายชื่อ และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคก้าวไกล กรณีถือครองหุ้นไอทีวี จำนวน 42,000 หุ้น
ศาลรัฐธรรมนูญ ประชุมปรึกษาคดี ของนายธีรยุทธ สุวรรณเกษร (ผู้ร้อง) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญตามมาตรา 49 ว่าการกระทำของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าไกล (ผู้ถูกร้องที่ 1) และพรรคก้าวไกล (ผู้ถูกร้องที่ 2) ที่เสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่..)พ.ศ... เพื่อยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 โดยใช้เป็นนโยบายในการหาเสียงเลือกตั้ง และยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่องเป็นการใช้สิทธิเสภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง หรือไม่
โดยศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารประกอบคำร้องเป็นกรณีที่ผู้ร้องขอให้ศาลพิจารณาวินิจฉัยว่า การกระทำของนายพิธา และพรรคก้าวไกล เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 หรือไม่ ซึ่งผู้ร้องได้ยื่นคำร้องต่ออัยการสูงสุเพื่อร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49วรรคสอง แล้วแต่อัยการสูงสุดมิได้ดำเนินการตามที่ร้องขอภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำร้องขอ กรณีเป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 วรรคสาม ที่ผู้ร้องจะยื่นคำร้อง
โดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ จึงมีคำสั่งรับคำร้องนี้ใว้พิจารณาวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ 2561มาตรา 7 (3) แจ้งให้ผู้รับทราบ และให้นายพิธา และพรรคก้าวไกล ยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับสำเนาคำร้องตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ 2561
มาตรา 54 และเพื่อประโยชน์แก่การพิจารณา แจ้งอัยการสูงสุดว่าหากอัยการสูงสุดได้รับพยานหลักฐานใดเพิ่มเติมให้จัดส่งศาลรัฐธรรมนูญโดยเร็ว
ส่วนบรรยากาศที่บริเวณศูนย์ราชการ มีการตรึงกำลังของเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยเฉพาะกกต.
ก่อนจะนำแผงเหล็กมาวาง รวมทั้งระดมกำลังตำรวจประมาณ 60 นายมาดูแลความสงบเรียบร้อยที่กกต.
โดยมีชายคนหนึ่ง ที่ไม่เห็นด้วยกับความเห็นของกกต. แต่ไม่ได้มีเหตุรุนแรงใดๆ
ขณะเดียวกัน นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีระบุว่า ไม่มีอะไรก็ต้องรอคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และเชื่อว่ากระบวนการในวันพรุ่งนี้จะ
เหมือนเดิมทุกอย่าง ส่วนตัวขอขอบคุณกำลังใจจากพี่น้องประชาชนที่ส่งมาให้เสมอ ซึ่งเชื่อว่าทุกอย่างจะยังคงเป็นไปตามเดิม และตนก็ยังกำลังใจดีอยู่ ขอบคุณทุกคนที่ส่งกำลังใจมาให้
ส่วนกังวลหรือไม่ว่าเรื่องนี้จะถูกหยิบยกไปเป็นปัจจัยหนึ่งในการพิจารณาลงมติให้ความเห็นชอบในวันพรุ่งนี้ นายพิธา ยืนยันว่าไม่กังวลเพราะเป็นเรื่องปกติ เชื่อว่า ส.ว. คงแยกแยะได้ ว่าแต่ละเรื่องมีหน้าที่อะไรบ้าง และเรื่องที่ร้องไปก็รู้อยู่แล้วว่าสื่อมวลชนได้ปิดไปนานแล้ว และตนก็ถือในฐานะผู้จัดการมรดก ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรคุณสมบัติการเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรียังอยู่ ส่วนการที่กกต.ไม่ได้เรียกเราไป
ชี้แจงเลยเป็นธรรมหรือไม่
นายพิธา ยอมรับว่าไม่เป็นธรรม ซึ่งสิ่งที่นายชัยธวัช ตุลาธนเลขาธิการพรรคได้ แถลงก็เป็นข้อเท็จจริงทั้งสิ้น ว่าหากนำไปเทียบเคียงกับการยุบพรรคอนาคตใหม่ซึ่งเกี่ยวข้องกับการกู้เงินซึ่งเป็นคนละรูปแบบกัน ดังนั้นระเบียบของกกต. เองก็ควรจะเปิดโอกาสให้ชี้แจง รวมถึงการดำเนินการของกกต.ก็มีระยะสั้น ในกรณีของตนใช้ เวลาเพียง 32 วัน ซึ่งคิดเป็นครึ่งหนึ่งของคดีนายธนาธรจึงรุ่งเรืองกิจ 1 ใน 10 ของคดี ของรัฐมนตรีในยุคคสช. ทั้ง 4 คน บรรทัดฐานก็ต่างกัน เป็นสิ่งที่ดูเรงรัดไปนิด และก็เป็น 1 วันก่อนโหวตนายกฯ เป็นอะไรที่ไม่ควรเกิดขึ้น แต่ตนยังเชื่อมั่น ว่ายังเดินหน้า
ตามปกติ กำลังใจมีแน่นอน
ส่วนกังวลใจหรือไม่กับการล็อบบี้ ส.ว. นายพิธา บอกว่าดูสภาพแล้วจากการเคลื่อนไหวนอกสภาแบบนี้ แสดงให้เห็นว่าในสภามีความมั่นใจมากขึ้นว่าจะได้เสียงถึง 376 เสียง จึงได้มีการใช้องค์กรอิสระข้างนอกสภาหรือไม่ เป็นการตั้งคำถามไว้ แต่เท่าที่เขาคุยกันในสภา จริงๆแล้วก็มีแนวโน้มที่ดี แต่เมื่อมีแนวโน้มที่ดีก็มี กระบวนการเคลื่อนไหวนอกสภาหรือไม่อย่างไร อันนี้ตนก็ไม่รู้ เป็นแค่สิ่งที่เขาพูดกันในสภาเฉยๆ พร้อมกันนี้นายพิธา ยังยืนยันว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แม้จะเหลืออีก 1 วันที่จะ
ลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี กระบวนการยังคงเป็นไปตามปกติ ไม่ได้เป็นสิ่งที่เกิน ความหมายแต่อย่างใด ยังสามารถบริหารจัดการได้ ซึ่งในวันพรุ่งนี้ตนก็จะยังคงเข้าสภาปกติ อภิปราย 6 ชั่วโมง ตนจะตอบทุกข้อซักถาม ทุกข้อกังวลใจ และแสดงวิสัยทัศน์ แล้วจะมีการลงมติให้ความเห็นชอบในเวลา 17.00 น. ตามที่ประธานสภาบอกไว้
นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย ส.ส.ของพรรคแทบทั้งพรรคร่วมแถลง
หลัง กกต.มีมติ ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสมาชิกภาพ ส.ส. ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล สิ้นสุดลงหรือไม่ และขอให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.ชั่วคราวกรณีการถือครองหุ้นไอทีวีว่า พรรคก้าวไกลเห็นว่า กกต. ดำเนินการไม่ถูกต้องตามระเบียบ กกต. ว่าด้วยการสืบสวนไต่สวนและวินิจฉัยชี้ขาด
พร้อมแถลงคัดค้าน มติ กกต. 2 ประเด็น คือ ประเด็นแรก คือ คดีหุ้นไอทีวี กกต. ไม่อาจนำคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ 5 / 2563 คดีเงินกู้ยุบพรรคอนาคตใหม่มาเทียบเคียงกับคดีหุ้นไอทีวี เพราะ (1.) คดียุบพรรคอนาคตใหม่เป็นกรณีที่กฎหมายพรรคการเมือง ม.93 กำหนดให้นายทะเบียนพรรคการเมืองรวบรวมข้อเท็จจริงและหลักฐานพร้อมเสนอความเห็นต่อ กกต. พิจารณาตามหลักเกณฑ์และวิธีพิจารณาที่กำหนดไว้ แต่คดีหุ้นไอทีวี ดำเนินการตามมาตรา 82 ของรัฐธรรมนูญซึ่งต่างกันจากคดีเงินกู้ จึงไม่อาจนำแนวทาง ดำเนินการคดีเงินกู้มาใช้กับคดีไอทีวีได้
(2) ในคดีตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเงินกู้ยุบพรรคอนาคตใหม่เป็นคดีที่ คณะกรรมการสืบสวนของ กกต. มีมติว่าข้อกล่าวหาของพรรคอนาคตใหม่ไม่มีมูล แต่ กกต. ไม่เห็นด้วยกับคณะกรรมการสืบสวนของตัวเอง เมื่อมีความเห็นแย้ง กรณีนี้คณะกรรมการสืบสวนไต่สวนของ กกต. จึงไม่แจ้งข้อกล่าวหากับพรรคอนาคตใหม่ แล้ว กกต. ก็ยื่นส่งศาลรัฐธรรมนูญ
ประเด็นที่สอง หากคดีหุ้นไอทีวีคณะกรรมการสืบสวนไต่สวน กกต. เห็นว่ามีมูลต้องแจ้งข้อกล่าวหาตามระเบียบ กกต.ข้อ 53-54 ต่อนายพิธาลิ้ม เจริญรัตน์ ให้ครบถ้วนเสียก่อน ที่คณะกรรมการสืบสวนจะทำความเห็นเสนอ เลขาธิการ กกต.และ กกต. ส่วนความเห็นในเรื่องนี้หุ้นไอทีวีเป็นกรณีความปรากฏที่ให้กกต. ตรวจสอบว่านายพิธาฝ่าฝืนกฎหมาย ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส. มาตรา 42 ,101,48 อันเป็นเหตุให้ กกต. ร้องตาม ม.82 และ ข้อ 85 กำหนดไว้ว่าภายหลังการประกาศผลการเลือกตั้ง ส.ส. แล้ว กกต. เห็นว่า ส.ส. หรือ ส.ว. ไม่มีสิทธิ์สมัครรับเลือกตั้งเนื่องจากขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้าม ให้ส่งเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย โดยเห็นว่าควรเปิดโอกาสให้นายพิธาได้ชี้แจง
เลขาธิการพรรคก้าวไกล ยืนยันว่า กกต. ต้องปฏิบัติตามระเบียบให้ครบถ้วน การที่เสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญอย่างรีบเร่งไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหาและไม่เปิดโอกาสให้มีการชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา โดยอ้างว่าเป็นการตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยพรรคก้าวไกลเห็นว่า กกต. จงใจเลือกปฏิบัติตามระเบียบบางส่วน อันเป็นการปฏิบัติและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157
ทั้งนี้ มีการตั้งข้อสังเกตว่าทำไมกกต.ถึงรีบเร่งดำเนินการในคดีหุ้นไอทีวี อย่างผิดปกติ ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เรื่องหุ้นไอทีวีมีข้อพิรุธและมีข้อถกเถียง อย่างกว้างขวางว่ายังคงดำเนินธุรกิจสื่ออยู่หรือไม่ มีการจงใจทำเอกสารการประชุมและงบการเงินไม่ตรงกับข้อเท็จจริงหรือไม่ แต่กกต.กลับรีบประชุม ติดกัน 3 วัน ทันทีที่ได้รับเรื่องเพื่อเร่งสรุปให้ได้ว่ามีข้อมูลสรุปเพียงพอให้เชื่อได้ว่านายพิธามีความผิดตามที่ยื่นคำร้องจริง
ทั้งนี้เรื่องนี้ตนทราบมาว่าทางกกต.ได้เชิญผู้บริหาร ไอทีวี มาชี้แจงกับกกต.แล้ว และผู้บริหารได้ให้ข้อมูลว่าไอทีวีไม่ได้ดำเนินธุรกิจสื่อ ดังนั้นแม้กกต.พยายามอ้างเหตุผลมากมาย ว่าไม่จำเป็นต้องแจ้งข้อกล่าวหากับนายพิธาเพื่อให้นายพิธามาชี้แจงก่อนแต่คำถามคือในขณะที่กกต.ยังมีเวลาเชิญไอทีวีไปชี้แจงแล้วกกต.มีเหตุผลอะไรที่รับฟังได้ว่าจะไม่ยอมเสียเวลาให้นายพิธาได้รับทราบข้อกล่าวหาและมีโอกาสชี้แจงบ้าง เพื่อให้กกต.สามารถพิจารณาข้อเท็จจริงได้อย่างรอบด้านและเป็นธรรม
นอกจากนี้ หากผู้บริหารไอทีวีได้ชี้แจงกับกกต.แล้วจริง ว่าไม่ได้ดำเนินธุรกิจสื่อมวลชน กกต. ใช้หลักฐานอะไร ที่นำไปสู่ข้อสรุปที่บอกว่าตนเองเชื่อว่ามีความผิดตามที่มีการยื่นคำร้องจริง เพื่อรีบเร่งให้ได้ ซึ่งความรีบเร่งผิดปกติเห็นได้จาก มีมติตอนเช้า นายอิทธิพร รีบเร่งเซ็นเอกสารและให้สำนักงานเลขาธิการกกต.ยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญทันทีเพื่อให้ทันการประชุมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ในตอนบ่าย พร้อมกล่าวเหน็บว่าหากทุกหน่วยหน่วยงานราชการทำงานไวประเทศชาติก็จะเจริญ
นายขัยธวัชยังระบุอีกว่าตนอดไม่ได้ในการตั้งคำถามต่อกกต.ว่ามีเจตนาที่จะส่งลูกให้ศาลรัฐธรรมนูญเพื่อนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุม ทันทีเพื่อให้สั่งให้นายพิธาหยุดปฏิบัติหน้าที่ทันทีก่อนที่จะมีการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในวันพรุ่งนี้ใช่หรือไม่
สุดท้ายนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นหลายปีที่ผ่านมา โดยใช้นิติสงครามบทบาท องค์กรอิสระรวมไปถึงศาลรัฐธรรมนูญถูกตั้งข้อสงสัยมาโดยตลอด ว่าตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองของกลุ่มทางการเมืองใดกลุ่มการเมืองหนึ่งหรือไม่ กรณีที่เกิดขึ้นในวันนี้และหลังจากนี้อีกไม่นานจะเป็นข้อพิสูจน์ว่าข้อกล่าวหาเหล่านั้น เป็นจริงหรือไม่ และเราในฐานะผู้แทนราษฎรขอฝากเสียงเตือนจากประชาชนไปยังกกต.และองค์กรอิสระทั้งหมด ว่า "ท่านอย่าลุแก่อำนาจจนเกินขอบเขต วันใดวันหนึ่งเมื่อการเมืองกลับมาเป็นปกติประชาชนจะลงโทษพวกท่าน"
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในช่วงบ่ายวันนี้ ตนและสมาชิกพรรคก้าวไกลและเพื่อนสมาชิกอีก 7 พรรคการเมือง ยืนยันว่าจะไม่กระทบกับการเสนอชื่อนายพิธา เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ในวันพรุ่งนี้ แม้จะส่งลูก รับลูกกันอย่างรวดเร็ว เพื่อให้สั่งยุติการปฏิบัติหน้าที่ของนายพิธา แต่นายพิธายังมีสิทธิ์ 100% ในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีและผู้ที่ได้รับคะแนนเสียงมาเป็นอันดับ 1 จากการเลือกตั้งของประชาชน ขอประชาชนอย่าตื่นตระหนกตกใจ ความชอบธรรมที่สูงสุดคืออำนาจของประชาชน พรรคก้าวไกลจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด
และปฏิเสธไม่ได้ว่าถ้าเรื่องนี้เป็นขบวนการที่หวังผลทางการเมืองจริงๆ มีการบิดเบือนเจตนารมณ์ในการบังคับใช้กฎหมาย บิดเบือนระเบียบข้อบังคับต่างๆ ย่อมต้องหวังผลทางการเมือง แต่ก็เชื่อว่าจะมีสมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.)ที่มากเพียงพอ ที่มีสติ มีความเป็นธรรม มีวิจารณญาณเห็นว่าข้อกล่าวหาเหล่านี้ ยังไม่สามารถเป็นบทสรุปได้ว่านายพิธามีความผิด กระบวนการยังไม่สิ้นสุดและไม่ใช่หน้าที่ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภาที่จะวินิจฉัยเรื่องนี้เป็นคนละส่วนกับการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีหลังการเลือกตั้ง ยังเชื่อมั่นว่ายังมีส.ว.ที่อยู่ข้างความถูกต้องและยืนยันที่จะใช้เอกสิทธิ์ของตนเองเป็นไปตามเสียงของพี่น้องประชาชนส่วนใหญ่ที่ได้แสดงออกผ่านการเลือกตั้ง
ส่วนจะฟ้องกกต.หรือไม่ในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กำลังพิจารณาอยู่ พร้อมยืนยันกระบวนการทางศาลรัฐธรรมนูญ เป็นคนละส่วนกับการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ดังนั้น มั่นใจไม่มีการเลื่อนการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในวันพรุ่งนี้และเชื่อมั่นในประธานรัฐสภา
กรณีคนมองว่า กกต. พยายามจะใช้บรรทัดฐานเดียวกับเงินกู้ของพรรคอนาคตใหม่ ตนยืนยันว่าเทียบกันไม่ได้พังเพราะกฎหมายและข้อเท็จจริงในการปฏิบัติและขบวนการที่ไม่เหมือนกันพร้อมยืนยัน จะเสนอนายพิธาเหมือนเดิมไม่มีแผนใดเพิ่มเติมจากนี้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
"พรุ่งนี้จะเป็นโอกาสและทางแยกของสังคมไทย ว่าเราจะวนกลับ ไปสู่การเมืองไม่เห็นหัวประชาชนหรือเป็นโอกาสคืนความปกติให้ระบอบประชาธิปไตยของไทยและพาประเทศไทยไปข้างหน้า ซึ่งผู้มีอำนาจมีโอกาสที่จะเลือก และตนเชื่อว่าครั้งนี้ประชาชนจะไม่ยอม" นายชัยธวัช กล่าวทิ้งท้าย
ล่าสุดเทรนด์ทวิตเตอร์ เป็นประเด็นการเมืองร้อนแรง โดยพบว่า #กกตมีไว้ทำไม #นายกพิธา #ศาลรัฐธรรมนูญ