ภายหลังจากตำรวจจับกุุม 3 ผู้ต้องหา นายโอลาฟ , มาดามเพทา และนายซาฮ์รูค เนื่องจากมีหลักฐานเชื่อมโยงร่วมฆ่าหั่นศพนายฮันส์ ปีเตอร์ นักธุรกิจชาวเยอรมัน
โดยนาซาฮ์รูค ถูกจับกุมได้เป็นคนสุดท้าย ขณะเตรียมหลบหนีออกชายแดนไทย-เมียนมา และทีนทีที่ถูกควบคุมตัวมาสอบสวน สภ.หนองปรือ ระหว่างคุมตัว ผู้สื่อข่าวพยายามถามว่า ได้ลงมือก่อเหตุจริงหรือไม่ แล้วทำไมถึงทำ และ เรื่องถูกขมขู่ จับแฟนสาวไว้เป็นตัวประกันจริงหรือไม่ ซึ่งนายซาฮ์รูค ตอบกลับเพียงว่า "เดี๋ยวก่อนนะครับ เดี๋ยวค่อยให้การทีเดียว" ในน้ำเสียงสั่นคลอ และ สีหน้าเคร่งเครียดตลอดเวลา ก่อนจะถูกนำตัวเข้าห้องขังทันที โดยขังติดกันกับห้องของโอลาฟ
ทั้งนี้ พ่อ แม่ พี่ชายของนายซาฮ์รูค ร้องขอเห็นหน้าลูกชายก่อนเข้าห้องคุมขัง โดยมีการสวมกอดร้องไห้ ผู้เป็นแม่ บอกว่า ถ้าลูกทำผิดจะไม่เข้าข้าง เพราะลูกไม่เคยโกหกแม่
"แม่ผมสาบาน ผมสาบานผมไม่ได้ทำผมไม่รู้เรื่องอะไรเลย ผมโดนข่มขู่ผมห่วงน้องสาวผม ห่วงเมียผม มันขู่จะเอาเมียกับน้องสาวไปที่เขมร เขาพูดแค่นี้กับเมียมึงเพราะว่าเหมือนจะรู้จักว่าเมียของซาฮ์รูคอยู่ที่ไหน" แม่ของนายซาฮ์รูค กล่าว
ซึ่งหลักฐานที่มัดตัวนายซาฮ์รูค นั่นคือภาพจากกล้องวงจรปิด ที่จับภาพนายซาฮ์รูค นั่งท้ายรถกระบะกับตู้แช่ซึ่งใส่ศพของนายฮันส์ที่โดนหั่น ที่ตระเวนโดยรอบกว่า 160 กิโลเมตร
ในขณะที่การสอบสวนพบว่ามีการให้การโยนความผิด โดยนายซาฮ์รูค อ้างว่านายโอลาฟสั่งการบีบบังคับน้อง-ภรรยาไปขังกัมพูชา ขณะที่นายโอลาฟ ซัดทอดว่านายซาฮ์รูค เป็นคนวางแผนลงมือหั่นศพ ด้านนางนิโคล ซัดทอดนายโอลาฟ สั่งการให้เฝ้าศพในตู้แช่
ส่วนความสัมพันธ์นายซาฮ์รูค กับมาดามเพทา รู้จักกัน2ปีที่แล้ว โดยเป็นคนแนะนำให้มาดามเพทารู้จักกับพ่อของนายซาฮ์รูค ก้ไม่รู้ว่าลูกชายติดต่อมาดามเพทามาโดยตลอด โดยคุณแม่ เชื่อว่าถูกจัดฉาก เพราะทุกจุดที่ลูกชายไป จะมีกล้องวงจรปิดบันทึกไว้ตลอด จนเป็นหลักฐานมัดตัว
ต่อมาเมื่อเวลา 15.16 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้คุมตัวนายซาฮ์รูคออกจากห้องควบคุม เพื่อไปเก็บดีเอ็นเอในห้องสอบสวน ระหว่างนั้น ผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามกับนายซาฮ์รูคว่า มีอะไรอยากจะพูดหรือไม่ ซึ่งนายซาฮ์รูค ได้บอกว่า อยากให้เจ้าหน้าที่ช่วยดูแลครอบครัวตนเองด้วย เพราะ ณ ตอนนี้ ตนเองรู้สึกกลัวมาก เพราะทุกคนก็ทราบดีอยู่แล้วว่า นายโอลาฟเป็นใคร ซึ่งตนเองยอมรับว่า หลังเกิดเหตุนายโอลาฟได้มีการข่มขู่ตนเองว่า หากตนเองไม่ทำตามสิ่งที่เขาต้องการ เขาจะทำร้ายภรรยา และน้องสาว เนื่องจากเขา รู้ความเคลื่อนไหวของคนในครอบครัวแทบทุกคน ว่าใครพักอาศัยอยู่ที่ไหนอย่างไร
จากนั้นทางเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานได้ทำการตรวจดีเอ็นเอประมาณ 10 นาทีก่อนที่จะนำตัว นายซาฮ์รูคเดินออกมาเข้าห้องคุมขังอีกครั้ง โดยขณะที่ทางตำรวจจะนำตัวซาฮ์รูคเข้าห้องกัน ระหว่างนั้น นายซาบาส ผู้เป็นพ่อ ได้สวมกอดและร้องไห้พร้อมกับหอมแก้มลูกชาย ซึ่งในขณะนั้นผู้สื่อข่าวได้พยายามสอบถามนายซาฮ์รูคอีกครั้งว่า จากภาพนิ่งกล้องวงจรปิดที่ปรากฏเห็นนายซาฮ์รูค และนายโอลาฟอยู่ที่ร้านขายอุปกรณ์ตกปลานั้น ถือเป็นครั้งแรกที่นายซาฮ์รูคได้ไปกับนายโอลาฟเป็นครั้งแรกหรือไม่ ซึ่งนายซาฮ์รูคยืนยันว่า เป็นครั้งแรก เนื่องจาก ณ ตอนนั้น หลังเกิดเหตุ นายโอลาฟได้บังคับให้ตนเองอยู่ด้วยกันตลอด ไปไหนมาไหนด้วยกัน และในวันนั้นนายโอลาฟได้ชักชวนให้ตนเองออกเรือไปตกปลาด้วยกัน พร้อมกับถามว่า “ว่ายน้ำเป็นหรือไม่?” ซึ่งตนก็ตอบว่า ว่ายไม่เป็น จากนั้นตนเองได้สังเกตสีหน้าท่าทีของนายโอลาฟจึงรู้ว่า ตนเองเริ่มไม่ปลอดภัยแล้ว หากออกเรือไปตกปลาตนเองก็อาจจะไม่มีชีวิตกลับมาอย่างแน่นอน จึงหาจังหวะหลบหนีออกมาก่อนที่จะไปกบดานที่จังหวัดกาญจนบุรี
นายซาฮ์รูค ยอมรับว่า ช่วงที่มีการก่อเหตุฆาตกรรมนายฮัน ปีเตอร์ นั้น นายโอลาฟได้มีการใช้มือกดศีรษะตนเองไปกับกำแพงก่อนจะมีการใช้ปืนจ่อหัวและข่มขู่ว่าไม่ให้นำเรื่องนี้ไปบอกใครไม่อย่างนั้นครอบครัวตนจะเดือดร้อน
และจากประเด็นที่นายโอลาฟชวนนายซาฮ์รูค ไปตกปลานั้น คำให้การสอดคล้องกับแนวทางการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า นายโอลาฟต้องการที่จะเอาร่างนายฮัน ปีเตอร์ ไปโยนทิ้งทะเลเพื่ออำพรางศพ ซึ่งการที่นายโอลาฟชวนนายซาฮ์รูดให้นั่งเรือไปด้วย อาจจะหวังฆ่าปิดปากนายซาฮ์รูคและโยนศพของนายอันส์ปีเตอร์ลงทะเลไปพร้อมกันทีเดียวเลยหรือไม่ เพราะนายซาฮ์รูดก็ถือเป็นพยานคนสำคัญอีกคน
ขณะที่กล้องวงจรปิดของร้านอุปกรณ์ตกปลาแห่งหนึ่งในพื้นที่ อ.บางละมุงสามารถจับภาพของนายโอลาฟ กับนายชาฮ์รูค เข้าไปซื้ออุปกรณ์ตกปลา โดยเจ้าหน้าที่
ตำรวจสันนิษฐานว่า เตรียมไปลงเรือ และอาจจะนำร่างของนายฮันส์ ปีเตอร์ ไปทิ้งทะเล เพื่อทำหลายหลักฐาน แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ สืบสวนจนได้เบาะแสมาถึงบ้านหลังที่นำตู้ แช่และศพมาซุกซ่อนไว้ คนร้ายจึงต้องเปลี่ยนแผนในการหลบหนีความผิด