จากกรณีนายพิธาโพสต์คลิปขอบคุณประชาชนและรัฐสภาสำหรับ 324 เสียงที่โหวตตนเป็นนายกรัฐมนตรี พร้อมประกาศเปิดแคมเปญเดินหน้าแก้ ม.272 เพื่อตัดอำนาจ ส.ว. ควบคู่กับการโหวตนายกรัฐมนตรีครั้งที่ 2 เผยถ้าก้าวไกลตั้งรัฐบาลไม่สำเร็จ พร้อมเปิดทางให้เพื่อไทยขึ้นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

วันนี้ทีมข่าวช่อง 8 เดินทางมาพูดคุยกับนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง ถึงกรณีที่เกิดขึ้น เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ตนเคยชี้แจงไปแล้วว่าหากก้าวไกลเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล จะไม่สามารถผ่านเสียงส.ว. ที่โหวตเลือกนายกรัฐมนตรีได้ เนื่องจากก้าวไกลต้องการผลักดันแก้ไขมาตรา 112 ซึ่งเหตุผลที่ส.ว. บางคนไม่ยอมโหวตให้ เนื่องจากมาตรา 112 จะไปกระทบมาตรา 6 และมาตรา 157

ดังนั้นตนเคยแนะนำกับก้าวไกลไปแล้วว่า หากจะขึ้นสู่แกนนำจัดตั้งรัฐบาล ก้าวไกลต้องยอมถอยไม่เเก้ไขมาตรา 112 แต่ทางก้าวไกลก็มองว่าพรรคจะยังคงจุดยืนไม่ยอมเปลี่ยนแปลงเพราะเป็นจุดแข็งพรรค ตนก็มองว่าก้าวไกลยังอ่อนประสบการณ์การเมือง ซึ่งหากจะเป็นพรรคจัดตั้งรัฐบาลต้องไม่มีนโยบายสร้างความแตกแยกในประเทศ และเล่นการเมืองบางครั้งต้องถอยให้เป็น

ในส่วนสมการจัดตั้งรัฐบาลครั้งต่อไปเป็นเกมพิฆาตของทางพรรคก้าวไกล มีการวางหมากการเมืองก่อนหน้านี้

แผนแรก ดันนายพิธาขึ้นสู่นายกรัฐมนตรี ซึ่งลงมติเลือกตั้งนายกรัฐมนตรี ในการโหวตครั้งแรกปรากฏว่าไม่ผ่านการเห็นชอบไม่ถึงฝั่งฝัน

ต่อไปแผนสอง คือการที่ก้าวไกลยอมถอย แล้วให้เพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล แต่ก้าวไกลคือพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งตนก็มองว่าสมการนี้ ส.ว. ยังไม่เห็นชอบแล้วไม่ลงคะแนนเสียงให้ เนื่องจากไม่มีใครอยากจะให้ก้าวไกลมาร่วมในรัฐสภา เนื่องจากมีประเด็นมาตรา 112 สร้างความขัดแย้งในประเทศ ทำให้ไม่ถึงฝั่งฝันอีก

แผนสาม คือการที่ก้าวไกลยอมถอยเป็นฝ่ายค้าน แล้วให้เพื่อไทยไปจับมือกับพรรคภูมิใจไทยและพรรครวมไทยสร้างชาติ เพื่อขึ้นสู่การจัดตั้งรัฐบาล แผนนี้สำเร็จแน่ จะมีส.ว. ที่เห็นชอบและลงคะแนนเสียงให้จัดตั้งรัฐบาล แต่ขึ้นอยู่กับว่าก้าวไกลจะยอมถอยเป็นฝ่ายค้านหรือไม่ // ซึ่งก่อนหน้านี้พลเอกประยุทธ์ยอมถอยเพราะอยากให้พรรครวมไทยสร้างชาติได้ร่วมรัฐบาล

ส่วนประเด็นที่ว่ามีกระแสอีกพรรคจะส่งพลเอกประวิตรขึ้นชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตนมองว่าจะยังไม่มีการส่งชื่อพลเอกประวิตรชิงตำแหน่งในการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีครั้งที่สอง น่าจะเป็นครั้งที่สาม หากพรรคก้าวไกลยังไม่ถอยเป็นฝ่ายค้าน

ซึ่งหากพรรคก้าวไกลจะดึงดันเป็นพรรคร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยในการโหวตนายกรัฐมนตรีครั้งที่สาม ก็คงมีส.ว. ในรัฐสภาที่ลงมติเห็นชอบให้พลเอกประวิตร ขึ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่สมการนี้จะเกิดขึ้นยาก เพราะพลเอกประวิตรจะขึ้นนายกรัฐมนตรีได้ ก็ต่อเมื่อพรรคก้าวไกลไม่ยอมถอยเป็นฝ่ายค้าน

ส่วนประเด็นที่ว่าหากพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยไม่ได้จัดตั้งรัฐบาลทั้งสองพรรคแล้วพลเอกประวิตรได้ขึ้นสู่นายกรัฐมนตรี จะทำให้มีมวลชนที่สนับสนุนพรรคก้าวไกลอยู่แล้วไม่ยอม และก่อชุมนุมลุกฮือเพื่อคัดค้าน ตนก็มองว่าโอกาสที่จะเกิดขึ้นมีน้อย เพราะการเมืองไทยยังไม่ถึงขั้นวิกฤตขนาดนั้น

ตนมองว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ แม้นายพิธาจะไม่ได้ขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่นายพิธายังอายุน้อย ซึ่งยังต้องเรียนรู้ประสบการณ์ทางการเมืองเพิ่มอีกมาก โดยอีก 4 ปีข้างหน้า นายพิธาจะลงเลือกตั้งก็อาจมีสิทธิ์ได้ขึ้นสู่นายกรัฐมนตรี เพราะอนาคตยังคงอีกไกลในเส้นทางการเมือง

ทางด้าน นายบรรยง พงษ์พานิช ประธานกรรมการบริหารและกรรมการ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร หรือ KKP แในฐานะผู้เชี่ยวชาญทางด้านเศรษฐศาสตร์ประเทศไทย ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัวเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม โดยระบุว่า

“มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งบอกว่า… มันไม่เกี่ยวกับเรื่องจงรักภักดีอะไรหรอก……พวกมึงเล่นจะลดกองทัพ ลดนายพล ลดข้าราชการ ลดกฎหมาย ลดอำนาจ ลดทุนผูกขาด ลดทุกอย่างของอภิสิทธิ์ชน เพิ่มแค่อย่างเดียว คือ ภาษีคนรวย …ใครเขาจะยอมมึง”

ชูวิทย์ ผ่าแผน 3 ขั้นพิฆาตก้าวไกล ถ้าดึงดันโหวตครั้ง 3 ได้ประวิตร ฟันธงม็อบด้อมจุดไม่ติด