นายกิตติศักดิ์ รัตนวราหะ สมาชิกวุฒิสภา กล่าวถึง การเสนอชื่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคและ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคก้าวไกล เป็นครั้งที่สอง ในการโหวตนายกรัฐมนตรี ว่า ไม่น่าเกิดความวุ่นวาย เรื่องนี้เป็นเรื่องของสภาผู้แทนราษฎร เมื่อเรื่องถึงสว. ก็ปฏิบัติตามมาตรา 272 ก็เป็นอำนาจของสว. ดังนั้นจะเสนอหรือไม่เสนอนายพิธาก็ไม่ไปก้าวก่าย แต่แน่นอนว่าเมื่อมีการเสนอชื่อนายพิธาเข้ามา ก็จะเกิดข้อถูกเถียง ซึ่งในวันนี้ การประชุมกรรมาธิการพัฒนาการเมือง น่าจะมีการพิจารณาข้อบังคับการประชุมรัฐสภาข้อที่ 41 ว่าญัตติที่ตกไปแล้วไม่สามารถนำกลับมาได้ ในสมัยประชุมเดียวกัน แล้วถ้า วันที่ 19 กรกฎาคมยังมีญัตตินี้เข้ามา คงจะมีการประท้วงกันพอสมควร
ทั้งนี้ สว. จะนำข้อหารือนี้ ไปหารือในวันที่ 19 กรกฎาคมเลย เพราะ ทราบว่า 8 พรรคร่วมจะหารือกันในวันนี้ จะมีหรือไม่มีนายพิธาก็ยังไม่ทราบ ดังนั้นในวันที่ 19 กรกฎาคมน่าจะมีความชัดเจน หากมีชื่อนายพิธาก็ไปว่ากันในที่ประชุม
ส่วนถ้ามีการประชุมครั้งที่ 3 มีการเสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของฝั่งเพื่อไทยเข้ามาสว.จะยกมือให้หรือไม่ นายกิตติศักดิ์ ยืนยันว่า ถ้านายพิธาไม่ได้ ก็เป็นหน้าที่ของพรรคอันดับสองคือพรรคเพื่อไทย ดังนั้นหากเพื่อไทยจะจัดตั้งรัฐบาล ต้องไม่มีพรรคก้าวไกลเท่านั้น ส่วนพรรคเพื่อไทยจะไปรวมกับใครก็แล้วแต่ ตอนนี้ตนไม่ยอมรับว่านายพิธา และพรรคก้าวไกลจะเป็นรัฐบาล
ส่วนในครั้งที่ 2 หากมีการเสนอชื่อคนอื่นด้วย ที่ถือว่าไม่ซ้ำญัตติ จะเดินหน้าไปได้โดยที่ไม่มีข้อถกเถียง ตามข้อบังคับการประชุมที่ 41 หรือไม่ นายกิตติศักดิ์ กล่าวว่า ต้องดูว่า มีชื่อก้าวไกลอยู่หรือไม่ “ก้าวไกลและเพื่อไทยไปอำเภอหย่ากันแล้วหรือยัง ถ้าหย่ากันแล้วก็ไม่น่าจะมีปัญหา ถ้าเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯรัฐมนตรีท่านอื่นมา”
อย่างไรก็ตาม หากจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ ทุกอย่างจะมีปัญหาทางนั้น ไม่ว่าจะเป็นการจัดตั้งรัฐบาลของพรรคเพื่อไทยโดยไม่มีพรรคก้าวไกล ก็มีม็อบอยู่ดี และหากนายพิธาเข้ามาก็มีม็อบอีกเช่นกัน เพราะฉะนั้นอยากให้ประชาชนตั้งสติ สว. ปฎิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ เห็นแก่ประโยชน์ของบ้านเมือง โดยไม่มีอคติกับใครทั้งสิ้น ถ้าหากว่าพรรค ก้าวไกลไม่ยอมถอยในมาตรา 112 และยังมีเรื่อง นิรโทษกรรม ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ต้องคิดเพราะนั่น เป็นความขัดแย้งของประชาชนในอนาคตอันใกล้ ดังนั้น ตอนนี้เลยจุด ที่พรรคก้าวไกลจะถอยหรือไม่ถอยในเรื่องมาตรา 112 เพราะวันที่ 13 กรกฎาคมได้ชัดเจนแล้ววว่า พรรคก้าวไกลไม่ถอยแน่ๆ และด้อมส้มก็ไม่ยอมให้ถอย ดังนั้น สิ่งที่จะเป็นไปได้มากที่สุดคือ พรรคก้าวไกลไปเป็นฝ่ายค้าน ให้พรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาล ทั้งนี้อยู่ที่การตัดสินใจของ 8 พรรคร่วม
นายกิตติศักดิ์กล่าวว่า ความขัดแย้งของคนไทยที่มากมาย ถ้าหากสนับสนุนนายพิธาและพรรคก้าวไกล ก็จะลุยแก้มาตรา 112 และไปไกลกว่านั้นอีก คนที่เขาอยู่เงียบๆ พลังเงียบก็จะออกมาเต็มบ้านเต็มเมืองอีกเช่นกัน ดังนั้นต้องมองทั้งสองด้าน หากนายพิธาถอยออกไป สถานการณ์ก็จะเบาบางลง เเต่ ทั้งหมดก็ปล่อยให้เป็นเรื่อง สถานการณ์และความมั่นคง ในเรื่องต่างๆที่จะเกิดขึ้น
นายกิตติศักดิ์ยังกล่าวถึงกรณีที่ ในโลกโซเชียลมีการล่าแม่มดของกลุ่มสว. อาจจะทำให้สว. หันมาหนุนนายพิธา เป็นครั้งที่ 2 ว่า การล่าแม่มด การไปข่มขู่ การทำอะไรที่ก้าวร้าวรุนแรง มันเป็นประชาธิปไตยที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ประชาธิปไตยที่ไม่ใช่การมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นประชาธิปไตยซ่อน ดังนั้น การที่ ไปรังควานสว. ไม่มีผลต่อการตัดสินใจของสว. /สว. ที่จะเปลี่ยนไปมีแต่ความเข้มข้นมากขึ้น โดยเฉพาะตนเอง บ้านตนมีประชาชนไปเกือบทุกวัน ถ้าด้อมส้มจะไปตนยินดีเชิญ ตนไม่มีธุรกิจ มีนาอยู่ 10 กว่าไร่ จะได้ให้ช่วยทำนาซะเลย
เมื่อถามว่ามีที่จอดรถทัวร์หรือไม่ นายกิตติศักดิ์กล่าวว่า ไปเป็นรถไฟก็ได้ เดี๋ยวเลี้ยงข้าว
ส่วนกระแส #ตามหาเมียน้อย สว. ตรงนี้หลายท่านก็กังวลเช่นกัน ส่วนตัวก็ไม่ทราบ แต่พูดเล่นกัน ใครจะทำอะไรก็ทำได้ แต่ทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย ถ้าหากทำแล้วเขาเสียหาย เขาฟ้องได้ และต้องหากระเช้าไปอีก ทุกฝ่ายควรคิดและต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย
สมาชิกวุฒิสภา 12 คน อาทิ นายเสรี สุวรรณภานนท์ /พลอากาศตรี เฉลิมชัย เครืองาม /นายสมชาย แสวงการ/ นายกิตติศักดิ์ รัตนวราหะ/ นายวงศ์สยาม เพ็งพานิชภักดี และ นายวิวรรธน์ แสงสุริยะฉัตร พร้อมทีมกฎหมาย แถลงข่าวดำเนินคดีกรณีถูกคุกคามหลังโหวตนายกรัฐมนตรี
นายเสรี กล่าวว่า ขณะนี้เกิดปรากฏการณ์มีการกระทำที่เป็นการข่มขู่และคุกคาม ทั้งที่การที่สมาชิกวุฒิสภาได้ดำเนินการลงมติไม่เห็นชอบนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์หัวหน้าพรรคก้าวไกลนั้น เป็นการทำหน้าที่ในกระบวนการของรัฐสภา แต่เป็นการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญและตามกฏหมายที่กำหนดไว้ แต่กลับมีพฤติกรรมที่แสดงความเกลียดชังแสดงความโกรธ ส.ว. จำนวนมาก กระทบต่อสิทธิส่วนบุคคลกระทบต่อบุคคลในครอบครัว ญาติ ลูกเมีย และธุรกิจ กิจการ ส.ว. เห็นว่าพฤติกรรมแบบนี้เกิดขึ้นในสังคมไทย มาเป็นระยะเวลาที่ยาวนานพอสมควร ถือเป็นพฤติกรรมที่แสดงออกด้วยความก้าวร้าวให้ร้ายคนอื่น มีการใช้ถ้อยคำที่หยาบคายดูถูกดูหมิ่น และทำให้เกิดความเกรงกลัว และยังก้าวล่วงไปถึงสถาบัน หลายครั้ง จึงมองได้ว่าสังคมขณะนี้กำลังอ่อนแอ การบังคับใช้กฎหมายไม่มีใครเกรงกลัว ทุกคนจึงอยากจะด่าใครก็ได้อยากจะพูดอะไรก็ได้ แม้แต่ดารานักร้องนักแสดงที่มีความเห็นเกี่ยวกับบ้านเมือง ก็มีการกระทำที่เป็นอันธพาลจนทำให้คนเหล่านี้ไม่สามารถประกอบอาชีพได้ มีการกดดันไปที่ลูกหลานของส.ว. ตามโรงเรียนต่างๆมีการกดดันไม่ให้เด็ก และการกระทำลักษณะนี้ได้ลุกลามไปทั่วทุกพื้นที่ในสังคมไทยจึงถึงเวลาแล้ว ที่ต้องจัดการกับเรื่องเหล่านี้ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นมีพรรคการเมืองคอยยุยงส่งเสริมอยู่เบื้องหลัง ให้เยาวชนกระทำความผิด อ้างเสรีภาพ แต่ทำผิดกฎหมาย จาบจ้วงดูหมิ่นสถาบัน จนสุดท้ายต้องโดนดำเนินคดีและเสียอนาคต ดังนั้นใครที่ละเมิด ให้ร้ายคนอื่นด้วยถ้อยคำที่รุนแรงต้องรับผิดชอบ
ส.ว. เสรี กล่าวว่า วันนี้ตน เริ่มต้นดำเนินคดี กระปุกคนที่ให้ร้ายดูหมิ่นเหยียดหยามคนอื่น โดยดำเนินการยื่นฟ้องเอาผิดกับบุคคลสองคน ไว้เป็นตัวอย่างแล้ว คือ ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ และ ทนายอั๋น ภัทรพงศ์ ศุภักษร 2 ทนายความที่มีชื่อเสียง เป็นการฟ้องเพื่อให้สังคมได้ตื่น จะได้มีความรู้ความเข้าใจว่าเสรีภาพเป็นของทุกคน ใครละเมิดทำร้ายคนอื่นด้วยถ้อยคำที่รุนแรงย่อมต้องรับผิดชอบ และต่อไปจะเอาผิดทางอาญาและทางแพ่ง กลับกลุ่มบุคคลในโซเชียลมีเดียด้วย
“ ตอนนี้เราจะตรวจสอบให้หมดใครไปทำร้ายกิจการงานของ ส.ว. หรือใครไปทำร้ายกิจการงานของใคร เราก็จะดำเนินคดีให้หมด ซึ่งนอกจากการฟ้องร้องคดีแล้ว อีกส่วนหนึ่งก็จะมีการแจ้งความดำเนินคดีด้วย เบื้องต้นได้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจะดำเนินคดีเอาผิดเอาโทษ กลับไอ้คนป่า ที่อยากจะพูดอะไรก็ได้อยากจะให้ร้ายอะไรก็ได้ หรือทำให้ใครเสียหายอย่างไรก็ได้ สังคมจะได้ตื่นตัวจะได้รับผิดชอบร่วมกัน เราต้องช่วยกันและกล้าที่จะออกมาต่อสู้กับคนพวกนี้ ถ้าท่านกลัวสังคมก็เสื่อมประชาชนก็อยู่อย่างไม่มีความสุข”
ส.ว.เสรี เปิดเผยด้วยว่าส่วนตัวโดน บูลลี่ให้ร้ายกิจการ ตลาดเสรี มีการส่งข้อความมาคุกคามแม่ค้าในตลาด รวมถึงลูกค้าในตลาด ส่วนตัวมองว่าเป็นการกระทำที่โง่ไม่ฉลาด เพราะบรรดาพ่อค้าแม่ค้าคือพวกที่ลงคะแนนให้กับพรรคการเมืองพรรคนี้ ลูกค้าที่มาใช้บริการตลาดของตนก็ลงเลือกตั้งให้กับพรรคนี้ นอกจากกิจการของตนเองแล้วยังมีกิจการมากมายของวุฒิสมาชิก ก็ได้รับผลกระทบด้วย
ด้าน ส.ว.สมชาย แสวงการ กล่าวว่า ยังมี ส.ว. จำนวนมาก ที่ไม่ได้มาวันนี้ หลายคนเป็นหนักกฎหมาย ทุกคนเห็นตรงกันว่าจะไม่ปล่อยให้สภาพสังคมเป็นแบบนี้ ปล่อยให้เกิดการคุกคามไปถึงครอบครัว ของ ส.ว. 250 คน ซึ่งขณะนี้ส.ว.อยู่ระหว่างรวบรวม ข้อมูลการถูกคุกคามของแต่ละคนมาส่งมอบให้กับเจ้าหน้าที่
และทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็อยู่ระหว่างการตรวจค้น แอคหลุมต่างๆ ซึ่งยืนยันว่าขณะนี้เจอตัวหมดแล้วว่าใคร เป็นเจ้าของ Account จากนั้นจะมีการฟ้องร้องคดีเอาผิดทั้งทางแพ่งและทางอาญาทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีการตรวจพบว่ามีเครื่องมือที่เป็นกลไกของพรรคการเมืองบางพรรค ใช้ AI หรือ Robot ในการโจมตี โดยที่ภาครัฐตามไม่ทัน ดังนั้นบุคคลใดที่ใช้แอคหลุม ตามเข้าไปวิพากษ์วิจารณ์ร่วมกับ กลไก Robot เหล่านี้ จะต้องถูกดำเนินคดีทั้งหมด จะไม่มีการเอาดอกไม้เอากระเช้ามาขอขมาขอโทษ
พร้อมเตือนไปยังพี่น้องประชาชนที่เข้าไปหลงผิดตามการปลุกระดม ของนักการเมือง ว่าให้หยุดการกระทำดังกล่าว
กรณีที่ สมาชิกวุฒิสภา 12 คน เช่น นายเสรี สุวรรณภานนท์, พลอากาศตรี เฉลิมชัย เครืองาม, นายสมชาย แสวงการ, นายกิตติศักดิ์ รัตนวราหะ, นายวงศ์สยาม เพ็งพานิชภักดี และนายวิวรรธน์ แสงสุริยะฉัตร พร้อมทีมกฎหมาย แถลงข่าวดำเนินคดีกรณีถูกคุกคามหลังโหวตนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 13 ก.ค.66
โดย นายเสรี ระบุว่า ส.ว.ไม่ทนแล้ว ไม่ทนพฤติกรรมการกระทำที่เลวร้ายแบบนี้ ทำลายชาติ ทำลายสังคม ทำลายวิถีชีวิตที่ดีงามของคนไทย สิ่งที่เกิดขึ้นในวุฒิสภา เราถูกด่าทออยู่ตลอดเวลา วันนี้ผมจะเริ่มต้นจากการดำเนินคดีกับคนที่ให้ร้ายดูหมิ่นเหยียดหยามคนอื่น ไม่เห็นความสำคัญในเสรีภาพของคนอื่น
ตนได้ไปยื่นฟ้องต่อศาลแล้วเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา (17 ก.ค.)ใน 2 คดี คนที่ถูกฟ้องคือ นายเดชา กิตติวิทยานันท์ หรือ ทนายเดชา กับ นายภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือ ทนายอั๋น เรียกค่าเสียหายรายละ 5 แสนบาท พฤติกรรมเหล่านี้เราจะฟ้องก่อน 2 คดี เพื่อให้สังคมได้ตื่นรู้ว่าเสรีภาพเป็นของทุกคน ใครละเมิดทำร้ายคนอื่นด้วยถ้อยคำที่รุนแรงต้องรับผิดชอบ ส่วนลำดับต่อไปเราจะดำเนินคดีกับคนที่กล่าวให้ร้าย ไม่ว่าจะส่งข้อความทางโซเชียลหรืออะไรก็ตาม และจะเอาผิดทางอาญาและทางแพ่งกับกลุ่มบุคคลในโซเชียลมีเดียด้วย
ล่าสุดทีมข่าวช่อง 8 ได้เดินทางไปยังสำนักงานทนายคลายทุกข์ เพื่อพบกับทนายเดชา ซึ่งตนออกมาเผยว่ายังไม่ทราบว่าโดนฟ้องเรื่องอะไร เพราะไม่ได้ทำอะไรผิด ส.ว. กินเงินเดือนจากภาษีประชาชน ตนเองก็เป็นประชาชนจึงสามารถวิจารณ์ได้ และยังเผยอีกว่าเตรียมจะฟ้องกลับ ส.ว. ในข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา และยังกล่าวอีกว่า ส.ว.บางท่านอาจเป็นเจ้าของตลาด จะสั่งให้ใครขายหรือไม่ขายในตลาดก็ได้ แต่อย่าลืมว่า ส.ว.ไม่ใช่เจ้าของประเทศ จะมาสั่งคนในประเทศให้ทำตามใจตัวเองไม่ได้ นอกจากนี้ทนายเดชายังฝากถึงประชาชนที่ต้องการวิจารณ์การทำงานของ ส.ว. ให้สามารถทำได้อย่างเต็มที่ หากกลัวที่จะถูกฟ้องให้ติดต่อทนายเดชาได้โดยตรง