จากกรณีที่ นางกมลลักษณ์ สาเหล้ ผอ.โรงเรียนวัดนาบุญ พร้อมด้วยครูประจำชั้น ป.2 ของ น้องแอร์ (นามสมมุติ) อายุ 8 ขวบ และนางธาวีนี ป้าของน้องแอร์ เข้าพบ นางปวีณา หงสกุล เพื่อขอความช่วยเหลือ หลังจากแม่ของน้องแอร์ ได้ทิ้งลูกสาวไว้ ขณะที่น้องเข้าห้องน้ำ ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง บริเวณถนนไสวประชาราษฎร์ ต.บึงยี่โถ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี และพบตามร่างกายมีรอบบุหรี่จี้ที่ลำตัว
ทีมข่าวช่อง8 ลงพื้นที่ จึงได้พบกับแม่ของเด็กโดยบังเอิญ ซึ่งเธอกำลังปั่นจักรยานเพื่อขนย้ายของเหล่านี้ไปไว้ในห้องเช่า
ทีมข่าวได้ไปพบกับ นางอั้ม นามสมมุติ เธอเปิดเผยกับทีมข่าวว่า เธอไม่รู้ว่าลูกของเธอหายไปไหนตั้งแต่เมื่อวาน คิดว่ากำลังจะออกตามหาอยู่พอดี แต่ว่าติดขนของย้ายบ้านก็เลยไม่ได้ออกตามหา ทีมข่าวจึงถามเธอว่าแล้วเมื่อวานนี้เจอกับลูกครั้งสุดท้ายที่ไหนเธอบอกว่าเธอให้ลูกเดินตามมาหลังจากเธอไปสมัครงานที่ร้านอาหาร แล้วเธอก็ปั่นจักรยานออกมา ให้ลูกเดินตาม แต่ลูกหายไปตอนไหนเธอก็ไม่รู้ ทีมข่าวจึงถามต่อว่าเธอเป็นห่วงลูกหรือไม่ เธอบอกว่าก็เป็นห่วงแต่ไม่รู้ว่าลูกไปอยู่ไหน
ทีมข่าวจึงได้บอกไปว่าตอนนี้ลูกได้อยู่กับคุณป้าซึ่งเป็นพี่สาวของเธอ หลังจากเธอรู้เรื่องลูกสาวผ่านทีมข่าว จึงหายสงสัยแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อถึงลูกสาวทีมข่าวจึงถามต่อว่าพลัดหลงกับลูกแบบนี้บ่อยไหม เธอบอกว่าไม่บ่อยเพิ่งเป็นครั้งนี้ พอรู้ว่าอยู่กับพี่สาวก็อยากให้พี่สาวนำไปดูแลให้ เพราะว่าตอนนี้ชีวิตของเธอยังไม่เข้าที่เข้าทางกำลังหาที่สมัครงานและเพิ่งเลิกรากับแฟนไปได้ไม่นานส่วนตัวของเธอที่ไม่สามารถติดต่อได้เพราะว่าไม่มีสายชาร์จแบตโทรศัพท์
ทีมข่าวถามต่อเกี่ยวกับประเด็นสารเสพติด เธอบอกว่าไม่ได้เสพแม้ตังจะกินข้าวทุกวันนี้ก็ยังไม่มี
ส่วนประเด็นทำร้ายร่างกายลูกสาวยอมรับว่าทำจริงเพราะเด็กก็มีดื้อไปบ้างในบางที
ส่วนเรื่องโรงเรียนของเด็กอยากให้พี่สาวเป็นคนจัดการเพราะว่าตอนนี้ไม่มีตังค์ติดตัวเลยสักบาท ข้าวของที่ถูกกองอยู่บริเวณหน้าบ้านก็ถูกน้องสาวต่างแม่ไล่ออกมาไม่ให้อยู่ ถึงขั้นเอาตำรวจมาขู่เธอ เธอจึงทนไม่ไหวเลยขอตังค์น้องสาว 3,000 บาทแล้วจะออกไปหาห้องเช่าพร้อมกับพยายามหางานทำให้ได้
ทีมข่าวช่อง 8 ลงพื้นที่ไปพบกับคุณป้าของเด็ก ซึ่งเธอรับเด็กหญิงคนนี้มาอุปการะ เธอเล่าว่าเมื่อวานนี้ขณะที่เธอกำลังทำงานอยู่ได้มีโทรศัพท์จากมูลนิธิติดต่อเข้ามาว่าหลานสาวของเธอถูกแม่เอามาทิ้งไว้บริเวณร้านอาหารแห่งหนึ่งย่านคลองสี่จังหวัดปทุมธานี มูลนิธิเลยรับเด็กมาดูแลไว้ชั่วคราว เธอจึงรีบไปที่มูลนิธิและไปรับตัวหลานออกมาหลังจากนั้นเธอพาหลานไปตรวจร่างกายและมีการถามถึงเหตุผลว่าทำไมหลานถึงอยู่เพียงลำพังที่ร้านอาหารแห่งนั้นด้วยหลานเล่าให้เธอฟังว่าแม่ได้ทิ้งเธอไว้ที่ร้านอาหารขนาดนั้นเธอเข้า ห้องน้ำอยู่แต่พอออกมาอีกทีก็ไม่พบแม่ที่ผ่านมาแล้วเธอพยายามเดินตามหาแม่แต่ก็ไม่เจอเธอเลยคิดว่าจะเดินกลับไปที่บ้านน้าฉันเคยอาศัยอยู่หลังจากเดินไปได้ไม่นานระยะทางประมาณเกือบห้ากิโลเธอจึงไปพบพลเมืองดีและพลเมืองดีคนนั้นได้แจ้งตำรวจและประสานทางมูลนิธิให้เข้ามาช่วยเหลือจึงได้ติดต่อคุณป้าเพื่อให้มารับตัวเด็กกลับไป
เธอเปิดเผยว่าหลังจากนี้จะไม่ยอมให้แม่เอาเด็กไปดูแลอีกแล้วเพราะก่อนหน้านี้มีการคุยเรื่องนี้กับน้องสาวว่าจะขอรับหลานคนนี้มาเลี้ยงดูและอุปการะให้เป็นลูกบุญธรรมเพราะว่าน้องสาวมีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งกับสามีบ่อยครั้งรวมทั้งมีปัญหาเสพติดสารเสพติดโดยหลานเคยเล่าให้ฟังว่าพ่อเลี้ยงเคยเอาบุหรี่จี้ไปที่ขาและตามตัวก็มีรอยบาดแผลถูกทำร้ายหลายจุดบริเวณกะโหลกศีรษะของเด็กพบรอยแผลเป็น ซึ่งเด็กเปิดเผยกับเธอว่าเคยถูกแม่เอากระจกฟาดจนหัวแตกแต่แม่ก็ไม่พาไปรักษา จนแผลนั้นหายเอง เธอได้ยินอย่างนั้นก็รู้สึกสงสารและหดหู่ใจมากหลังจากนี้จะดำเนินคดีกับน้องสาวให้ถึงที่สุดและจะมีการนำสำนวนคดีให้ตำรวจส่งฟ้องศาลเยาวชนเพื่อให้เธอได้เป็นแม่บุญธรรมและดูแลเด็กคนนี้ต่อไป แล้วจะมีเจ้าหน้าที่จากกระทรวงศึกษาธิการเข้ามาดูแลเกี่ยวกับเรื่องการศึกษาซึ่งเธอเตรียมที่จะย้ายโรงเรียนของเด็กให้มาอยู่ใกล้ที่ทำงานเพื่อที่จะได้ดูแลอย่างใกล้ชิด