วันที่ 18 ก.ค. 2566 เวลา 14:00 น ที่ทำการพรรคภูมิใจไทย นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และส.ส.จังหวัดอุทัยธานี พรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า อยากฝากถึงพี่น้องคนไทยว่าเราไม่ทะเลาะกับใคร แต่เราต้องร่วมมือปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะสถาบันคือชาติไทย และถ้าใครมาดูหมิ่นสถาบันเราก็ยอมไม่ได้ และเราจะนั่งเฉยๆ ไม่ได้ เราต้องแสดงออกมาบ้าง เพราะระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมาสถาบันโดนมาตลอด "ผมเห็นว่าคนถึงเวลาที่คนไทย ลุกขึ้นมาปกป้อง สถาบันของเราที่เปรียบเป็นหัวใจของประเทศไทย"

ส่วนการโหวตนายกรัฐมนตรีในวันพรุ่งนี้ คงจะไม่มีการอภิปราย และอาจจะมีการพิจารณาเรื่องญัตติโหวตนายกซ้ำ จะทำได้หรือไม่ นายชาดา กล่าวว่า ส่วนตัวตนไม่ทราบ และคงคิดว่าเป็นอำนาจของท่านประธานสภา แต่ภูมิใจไทยต้องยืนหยัดอย่างเดียว ใครที่มายุ่งกับ ม.112 เราไม่ลงความเห็นให้ด้วย ส่วนพรรคภูมิใจไทยจะลงมติ เรื่องการโหวตญัตติซ้ำได้หรือไม่ ขอคุยกันในที่ประชุม ส.ส.พรรคภูมิใจไทยวันนี้ก่อน

เมื่อถามว่า เป็นไปได้ไหมว่าพรรคภูมิใจไทย จะเสนอนายอนุทิน ชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นไปไม่ได้ เพราะในพรรคยังไม่มีการคุยกัน และขอย้ำว่า พรรคภูมิใจไทยไม่ตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย เพราะเป็นการดูถูกคะแนนประชาชน และไม่ยุ่งกับพรรคที่แก้ไขมาตรา 112

เมื่อถามว่า หากกรณีพรรคเพื่อไทย พลิกขั้วเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล แต่ยังจับมือ กับพรรคก้าวไกลอยู่ พรรคภูมิใจไทยจะสามารถร่วมได้หรือไม่ นายชาดา กล่าวว่า ถ้าตรงไหนมีพรรคที่แก้มาตรา 112 อยู่ จะอยู่ตรงไหนส่วนเล็กส่วนใหญ่ ไม่ร่วมแน่นอน

เมื่อถามว่า มีความพร้อมที่จะเปิดบ้านรับรถทัวร์แล้วหรือไม่ นายชาดา กล่าวว่าทิ้งท้าย เราไม่ได้ท้าทายใคร แต่พฤติกรรมแบบนี้ ไม่น่าจะมีในสังคมไทย มันเป็นพฤติกรรมของอันธพาล เพราะไปขู่ลูกสส. สว. ซึ่งลูกสาวของตนก็โดน แต่ไม่สนใจ เราถือว่าคนพวกนี้ไม่มีค่า กับที่เราจะไปแคร์

นายภราดร ปริศนานันทกุล ส.ส.อ่างทอง ในฐานะโฆษกพรรคภูมิใจไทย แถลงภายหลังการประชุมส.ส.ของพรรค โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็นประธานการประชุมว่า ที่ประชุมได้หารือหลากหลายประเด็นก่อนที่จะมีการประชุมรัฐสภา วาระโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 19 ก.ค.นี้ ซึ่งเราได้ย้ำ 2 จุดยืนของพรรคภูมิใจไทย คือ 1.ไม่เห็นด้วยกับพรรคการเมืองที่มีนโยบายแก้ไขหรือยกเลิกกฎหมายอาญามาตรา 112 และไม่เห็นด้วยกับการจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย

โฆษกพรรคภูมิใจไทย กล่าวต่อว่า สำหรับประเด็นสำคัญจากที่มีการประชุมวิป 3 ฝ่าย ได้แก่ วุฒิสภา(ส.ว.) 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล และ 10 พรรคทางขั้วรัฐบาลปัจจุบัน มีการถกเถียงเรื่องข้อบังคับการประชุมรัฐสภา ข้อที่ 41 จะสามารถเสนอชื่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกฯ ซ้ำได้หรือไม่ พรรคภูมิใจไทยจึงมีความไปในทิศทางเดียวกันว่า ไม่สามารถเสนอชื่อนายกฯซ้ำได้ ให้เป็นไปตามข้อบังคับฯข้อที่ 41 เราจะยืนยันมติที่จะไม่กระทำการขัดข้อบังคับฯดังกล่าว หากในวันพรุ่งนี้ (19ก.ค.) ที่ประชุมรัฐสภา หรือ 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลยังมีความเห็นที่จะเสนอชื่อนายกฯคนเดิมซ้ำ ทางพรรคภูมิใจไทยได้เตรียมผู้อภิปรายแสดงความเห็นในเรื่องนี้ไว้แล้วแน่นอน



“พวกเรามีความเห็นไปในทิศทางเดียวกัน ที่มีความเป็นห่วงกับแนวคิดการแก้ไขกฎหมายมาตรา112 เราเป็นห่วงสังคม เราไม่เห็นด้วย และจะทำทุกวิถีทางเพื่อปิดกั้นพรรคการเมืองที่มีแนวคิดแบบนี้ นั่นก็คือพรรคก้าวไกล” นายภราดร กล่าว

เมื่อถามว่า ช่วงโค้งสุดท้ายคิดว่าจะมีใครมาเสนอชื่อนายกฯแข่งกับนายพิธาหรือไม่ โฆษกพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า เป็นไปตามจุดยืนของพรรคคือไม่เห็นด้วยกับการตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย แต่พรรคอื่นตนไม่ทราบว่าจะมีใครเสนอชื่อแข่งกับนายพิธาหรือไม่

นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เป็นประธานการประชุม ส.ส.พรรค โดยก่อนเริ่มประชุม นายอนุทิน ได้ขอให้ ส.ส.ของพรรค ปรบมือแสดงความชื่นชมให้ นายชาดา ไทยเศรษฐ์ ส.ส.อุทัยธานี และรองหัวหน้าพรรค ที่เมื่อ 13 ก.ค. 66 ในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ได้ขึ้นอภิปรายแสดงความรู้สึกออกมาอย่างเต็มที่ และทำให้เห็นจุดยืน เหตุผล และเจตนารมณ์ของพรรคภูมิใจไทย ที่ไม่สนับสนุนพรรคการเมืองใดๆก็ตาม ที่มีความต้องการจะแก้ไขหรือยกเลิกมาตรา 112 เราไม่สามารถที่จะร่วมงานด้วยได้ ไม่ว่าจะเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี หรือไปร่วมรัฐบาลที่มีพรรคการเมือง หรือเจตนารมณ์จะแก้ไขมาตรา 112 อันนี้คือจุดยืนของเรา และขอย้ำให้ชัดเจนอีกว่า พรรคภูมิใจไทยไม่มีความพยายามในการแย่งจัดตั้งรัฐบาล ปล่อยให้เป็นไปตามกติกา มารยาททางการเมืองไทย ซึ่งเหลือน้อยเต็มที ซึ่งพรรคภูมิใจไทยพร้อมที่จะรักษามารยาท แล้วปล่อยให้พรรคที่หนึ่งได้จัด ถ้าไม่ได้ก็เป็นหน้าที่ของพรรคที่สอง ส่วนพรรคภูมิใจไทยเป็นที่สามก็ยังไม่ถึงเรา

อีกประเด็นร้อนแรงอย่างมาก จนติดเทรนด์ทวิตเตอร์อันดับ1 ภายหลังจาก นายแสนปีติ สิทธิพันธุ์ บุตรชายของนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร โพสต์อินสตาแกรมส่วนตัว ว่า ถึงเวลาที่พรรคก้าวไกล เสียสละให้พรรคเพื่อไทยแล้ว ให้พวกเราพรรคเพื่อไทยนำประเทศไทยไปสู่อนาคต เราให้ความสำคัญเรื่องเศรษฐกิจมาเป็นเวลา 20 ปี ประเทศไทยมีศักยภาพที่จะเป็นเสือตัวที่ 5 เราคงไม่สามารถทำได้สำเร็จ ถ้าคุณเอาแต่บ่นเรื่องสังคมและกฎหมาย

นายแสนปิติ ระบุด้วยว่า เรามุ่งไปเรื่องเศรษฐกิจเพื่อนำเงินมาใส่กระเป๋าประชาชนอย่าให้เราต้องทำในสิ่งชั่วร้าย ขอให้เชื่อฟังผู้ใหญ่บ้าง เพื่อไทยเป็นพรรคของประชาชน ก้าวไกลเป็นพรรคที่เอาแต่เรียกร้อง และวัฒธรรมคว่ำบาตร
ฉันคิดว่าพรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทย กำลังค่อยๆ เปลี่ยนจากช่วงฮันนีมูนที่แสนหวานชื่น เป็นความสัมพันธ์ที่ป็นพิษและครอบงำอีกฝ่าย ก่อนที่จะแยกทางกันด้วยดีหรือประนีประนอม รวมทั้งมีการแจงอีก 9 ข้อ

ล่าสุด แสนดีได้โพสต์อินสตาแกรม เป็นภาพสีดำ พร้อมข้อความขอโทษ และปิดแสดงความคิดเห็น โดยว่า "ผมเขียนข้อความนี้ เพื่อแสดงการขอโทษจากใจจริงที่ได้แสดงความเห็นถึงหลายพรรคการเมือง และบุคคลต่างๆ ผมขอแสดงความเสียใจต่อความรู้สึกที่เกิดขึ้นต่อสาธารณชนผมเสียใจกับการกระทำของผม และอยากจะอธิบายว่า ผมแค่ต้องการจะแสดงออกถึงความคิดของผม ผมไม่ได้ต้องการแสดงความเกลียดชังต่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือบุคคลใดบุคคลหนึ่งและอีกครั้ง ผมขอโทษจากใจจริง ที่ทำให้ทุกคนรู้สึกลำบากใจ และจากนี้ ผมยินดีจะรับฟังความคิดเห็นและเรียนรู้จากทุกคน


ด้านนายชัชชาติ ระบุว่า แสนดี ถือว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว และต้องมีความรับผิดชอบของตัวเขาเอง และถือเป็นบทเรียนที่แสนดีและตนเองต้องไปพิจารณาและปรับปรุงให้ดีขึ้น เพราะเราถือเป็นบุคคลสาธารณะจะทําอะไรก็ควรทําให้ถูกต้องและรอบครอบ

ปรบมือลั่นพรรค! อนุทินเชียร์ชาดาคว่ำก้าวไกล ชัดเจน "เศรษฐา" อดนายกฯ ถ้าผนึกก้าวไกล