ณัฐวุฒิ บัวประทุม รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล เผยส่วนตัวยังไม่ได้พูดคุยกับนายพิธา แต่นายพิธา กำลังใจดี หากได้ติดตามทางโซเชียลกำลังใจ ก็มาอย่างหลากหลาย แม้คนที่จะไม่ได้เลือกพรรคก้าวไกล แต่ก็ให้กำลังใจพรรคมา
ส่วนกรณีที่การวรรคท้ายของข้อบังคับที่ 41 กำหนดให้ประธานสภาพิจารณาต่อได้ หากมีสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง แต่ยังมีข้อถกเถียงว่า สถานการณ์ที่เปลี่ยนจะเป็นแบบไหน จึงมีคำแนะนำให้ศาลรัฐธรรมนูญช่วยตีความ นายณัฐวุฒิ บอกว่า ยังไม่ได้พิจารณา และอาจจะดูย้อนแย้ง เพราะพรรคก้าวไกลเป็นพรรคที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสิน โดยไม่เป็นธรรมหลายครั้ง แต่ก็สงวนสิทธิ์ไว้ก่อนว่าจะดำเนินการใดๆในเรื่องใดบ้างเพราะทุกเรื่องยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณา
ส่วนจะมีการเสนอชื่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี โดยใช้หลักการเมื่อเหตุการณ์ไม่เหมือนเดิมหรือไม่ นายณัฐวุฒิ บอกว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่พูดคุยกันมาก่อนหน้านี้ ก็คงต้องมาดูว่าเหตุการณ์ไม่เหมือนเดิมในความหมายของเราคืออะไรและในความหมายของคนอื่นเหมือนกับเราหรือไม่ ถ้าท่านติดตามการอภิปรายเมื่อวานนี้ ส.ส.พรรคอื่นหลายท่านก็พูดถึงว่าเหตุการณ์ไม่เหมือนเดิมแล้ว มีหลายกหลายและเป็นอีกทางที่ไปต่อได้ ไม่ใช่พรรคก้าวไกลพูด แต่สมาชิกวุฒิสภาบางท่านก็พูดเรื่องเหตุการณ์ไม่เหมือนเดิมด้วย
เมื่อถามถึงกรณีที่นายอัครเดช วงศ์พิทักษ์โรจน์ ส.ส.ราชบุรี และโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ แถลงหากก้าวไกลถอย เรื่อง ม.112 จะขออาสาขอเสียง ส.ส.หนุน พิธาเป็นนายกฯ และหากถอยก็อาจจะมีสิทธิ์ได้นั่งนายกนั้น ส่วนตัวไม่ได้ฟังทั้งหมด แต่คิดว่าท่านคงพูดในส่วนของท่านเอง
ส่วนวาระการประชุมวันนี้ก็คุยเรื่องทั่วไปและให้กำลังใจกัน มองว่า กำลังใจทุกคนดี แต่ก็ต้องมาพูดคุยกัน อยากการทำงานเดินหน้าไป ร่วมถึงทิศทางทางการเดินหน้าในการร่วมรัฐบาล และสาระอื่นๆที่จะหยิบยกมาพูดคุย แม้กระทั่ง ส.ส.เขตของพรรคหากกลับไปยังพื้นที่ต้องมีพี่น้องประชาชนถามถึงประเด็นทางการเมือง ต้องมีการหารือแนะนำแนวทางเพื่อให้ได้ไปพูดคุยกับพี่น้องประชาชน
นายอัครเดช วงศ์พิทักษ์โรจน์ ส.ส.ราชบุรี พรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวภายหลังที่ประชุมรัฐสภามีมติเสียงข้างมาก ไม่ให้เสนอชื่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรี ครั้งที่ 2 ในสมัยการประชุมนี้ โดยแนะนำให้พรรคก้าวไกล ยอมทบทวน การดำเนินนโยบายแก้ไขจำนวนกฎหมายอาญามาตรา 112 เพื่อให้เป็นสถานการณ์ใหม่ และสามารถเสนอชื่อนายพิธา กลับเข้ามาให้รัฐสภาพิจารณาเป็นนายกรัฐมนตรีใหม่ได้ในสมัยการประชุมถัดไป โดยตนจะอาสาไปทำความเข้าใจ สส.อีกฝั่ง และพร้อมสนับสนุนพรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาลบริหารประเทศ จึงขอให้พรรคก้าวไกลทบทวน
นายอัครเดช ยังมั่นใจด้วยว่า เหตุการณ์การประชุมรัฐสภาเมื่อวานนี้ (19 ก.ค.) จะไม่เกิดขึ้น หากพรรคก้าวไกล ยอมถอยมาตรา 112 ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้นายพิธา ไม่ได้รับการลงมติให้เป็นนายกรัฐมนตรี และเชื่อว่า พรรคก้าวไกล ยังมีโอกาสเป็นรัฐบาล ด้วยการทบทวนการแก้ไขมาตรา 112 และคิดถึงประชาชนจำนวนมาก ที่สนับสนุนให้เข้ามาบริหารประเทศ และไม่แตะต้องมาตรา 112 ที่มีผลกระทบต่อสถาบัน
ส่วนแนวทางของพรรครวมไทยสร้างชาติ ในการเสนอนายกรัฐมนตรีในการประชุมรัฐสภาวันที่ 27 กรกฎาคมนี้ จะเป็นอย่างไรนั้น นายอัครเดช ระบุว่า จะต้องรอพรรคฯ พิจารณา เพื่อมีข้อสรุปเป็นมติพรรคฯ
เมื่อวานนี้ 19 ก.ค.2566 หลังจากที่มีมติในรัฐสภาว่าเสนอชื่อนายพิธาซ้ำเป็นรอบที่ 2 ไม่ได้ด้านนายณัฐวุฒิถึงกับหลั่งน้ำตากลางรัฐสภา โดยต่อมาพิธาได้กอดเพื่อปลอบใจ
นอกจากนี้ภาพบรรยากาศจากชาวบ้าน ก็เสียน้ำตาเช่นกัน หลังรู้ข่าวว่าไม่มีสิทธิ์เสนอชื่อนายพิธาให้โหวตนายกฯรอบ 2 อยู่ โดยเป็นคลิปที่ลูกชายถ่ายพ่อตอนนั่งดูทีวีเรื่องการโหวตนายกฯ แต่ผลออกมาว่าไม่ได้ ทำให้ผู้เป็นพ่อนั่งร้องไห้อยู่หน้าทีวี
คลิปต่อมาเป็นคลิปพนักงานบริษัทแห่งหนึ่งร้องไห้กลางที่ทำงานหลังจากดูข่าวของพิธาว่าไม่ได้รับการโหวตนายกฯรอบที่ 2 พร้อมกับพูดว่าจะมีประชาธิปไตยไปเพื่อะไร
ต่อมาเป็นคลิป ช่อ พรรณิการ์ ไปออกรายการของเอแคลร์ จือปาก เป็นคลิปทำกับข้าว ในระหว่างนั้นคุณช่อได้พูดถึงงูเห่า โดยเอแคลร์ถามว่าเป็นคนที่ไหน คุณช่อบอกว่าเป็นคนกรุงเทพฯ แต่อู้เมืองได้เจ้าเพราะไปช่วยพี่ศรีนวลหาเสียง กว่าจะชนะ แล้วก็งูเห่าใส่กู แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะว่างูเห่าที่เลื้อยออกไป รอบนี้สอบตกหมด แก้แค้นกับแก้ไข ทำพร้อมกันได้
ผศ.วันวิชิต บุญโปร่ง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ชี้โอกาสเพื่อไทยฉีก mou พรรคร่วมรัฐบาลเป็นไปได้สูง แล้วจับมือพรรครัฐบาลชุดเก่า ให้ระวังถูกหลอก เพราะอาจมีการพลิกเกมอีก ดันพลเอกประวิตรเป็นนายกรัฐมนตรี
หลังจากที่วานนี้ (20 ก.ค) ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์รับคำร้อง กกต. ปม นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ถือหุ้นไอทีวี เป็นเหตุให้สิ้นสุดสมาชิกภาพ ส.ส. หรือไม่ และมีมติมีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวนับแต่วันที่ 19 กรกฎาคมจนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัย ให้ส่งคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาภายใน 15 วัน
นอกจากนี้ มติที่ประชุมรัฐสภาที่ โหวตนายกรัฐมนตรีเป็นครั้งที่สอง มีการเสนอชื่อนายพิธาเป็นนายกรัฐมนตรีสองครั้ง ถือเป็น "ญัตติ" และผิดข้อบังคับการประชุมรัฐสภา พ.ศ. 2563 ข้อ 41 ส่งผลให้ต้องมีการลงมติโหวตนายกรัฐมนตรีครั้งที่สามในวันที่ 27 กรกฎาคมนี้
วันนี้ทีมข่าวช่อง 8 เดินทางมาพูดคุยกับผศ.วันวิชิต บุญโปร่ง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต โดยได้แสดงความคิดเห็นทางการเมืองว่า
-ประเด็นแรก ที่ทางศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องของกกต. ให้สิ้นสุดสมาชิกภาพส.ส. ของนายพิธา โดยตนคาดการณ์ไว้แต่แรกว่านายพิธาจะต้องถูกขจัดสิทธิ์ทางการเมือง แต่ไม่คิดว่าจะรวดเร็วไม่กี่สัปดาห์ // ทั้งมติประชุมรัฐสภามีการเสนอชื่อนายพิธาเป็นนายกรัฐมนตรีสองครั้งถือเป็นการผิดข้อบังคับการประชุม , มีการอ้างมาตรา 112 ทำให้ไม่สามารถโหวตลงเสียงให้นายพิธาได้ รวมทั้งการสร้างแรงกดดันบดขยี้นายพิธาเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องของกกต. ยุตติบทบาทชั่วคราว// แรงกดดันทั้งหมดส่งผลให้นายพิธาไปต่อทางการเมืองไม่ได้ และกดดันพรรคเพื่อไทยทางอ้อมว่าจะเดินหน้าต่อกับพรรคก้าวไกลหรือจะพลิกขั้วการเมือง
-ประเด็นที่สอง แรงกดดันของพรรคเพื่อไทยตอนนี้มีแนวโน้มสามทาง 1. ยังคงจับมือกับพรรคก้าวไกลเพื่อที่จะจัดตั้งแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล 8 พรรค สูตรนี้คาดว่าจะได้เสียงโหวตนายกรัฐมนตรีมากกว่าที่นายพิธาได้รับก่อนหน้านี้ แต่ยังคิดว่าไม่ผ่านเสียงส.ว. ที่โหวตให้ // 2.ไม่จับมือกับพรรคก้าวไกล แล้วให้พรรคก้าวไกลไปเป็นฝ่ายค้าน โดยฉีก mou แล้วไปรวมกับพรรครัฐบาลชุดเดิม ทำให้เพื่อไทยจะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล สูตรนี้ตนมองว่ามีโอกาสที่เป็นไปได้สูงมาก แต่ก็มีความเสี่ยงเพราะตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่หวังไว้ จะให้คุณเศรษฐาชิงตำแหน่ง จะหลุดเป็นของพลเอกประวิตรหรือไม่ เพราะก็มีโอกาสถูกหลอกภายหลัง ให้ระวังเพราะอาจมีคนในแวดวงการเมืองจัดเกมการเมืองก่อนหน้านี้ จะดันพลเอกประวิตรขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนต่อไป
-ประเด็นที่สาม ตามที่คุณชูวิทย์โพสต์เฟซบุ๊คส่วนตัวก่อนหน้านี้อาจมีเกมการเมืองกดดันให้ยุบพรรคก้าวไกล ตนมองว่า มีโอกาสสูงที่จะยุบพรรคก้าวไกลและตัดสิทธิ์กรรมมาธิการของพรรค เพื่อควบคุมการเจริญเติบโตของพรรคก้าวไกล // ส่วนโอกาสที่นายพิธาจะกลับมามีบทบาททางการเมืองและผันตัวเองเป็นฝ่ายค้าน ตนมองว่ามีโอกาสเป็นไปได้น้อยมาก
-ประเด็นที่สี่ การโหวตนายกรัฐมนตรีครั้งที่สามที่จะมีขึ้นในวันที่ 27 กรกฎาคมจะสามารถเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ได้จริงหรือไม่ ในส่วนนี้ตนไม่กล้าฟันธง อยากจะบอกเพียงว่า หากอยากให้ประเทศบ้านเมืองเดินหน้าต้องไม่เกิดการทอดเวลานานขนาดนั้น / หากทางก้าวไกลถอยออกมาแล้วและเพื่อไทยชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้วยังไม่ได้อีก ทั้งสองพรรคนี้คนไทยเลือกรวมกว่า 25 ล้านเสียง ซึ่งหากเพื่อไทยยังไม่ได้เป็นอีกก็เชื่อว่าจะเกิดวิกฤติทางการเมือง
ด้านบวรศักดิ์ อุวรรณโณอดีตรองประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปท.) สมัยรัฐบาล คสช. ได้โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊กว่า
เอาข้อบังคับการประชุมมาทำให้บทบัญญัติในรัฐธรรมนูญเป็นง่อย ทั้งๆที่รัฐธรรมนูญกำหนดการเลือกนายกไว้เป็นการเฉพาะแล้ว น่าสงสารประเทศไทย
ผิดหวังส.ส.คนที่ไปร่วมลงมติห้ามเสนอชื่อซ้ำ แม้คุณจะอยู่ฝ่ายค้านคุณก็ควรรู้ว่าเมื่อไหร่ต้องทิ้งความเป็นฝ่ายค้าน ทำสิ่งที่ถูกต้อง
แต่การตีความของรัฐสภาไม่เป็นที่สุด คนที่คิดว่าสิทธิของตนถูกกระทบ ไปยื่นเรื่องต่อผู้ตรวจการแผ่นดินได้ว่ามติรัฐสภาซึ่งเป็นการกระทำทางนิติบัญญัติขัดรัฐธรรมนูญได้ตามมาตรา 213 ของรัฐธรรมนูญ ถ้าผู้ตรวจการไม่ส่งศาล ผู้นั้นยื่นตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญได้
ผมจะรอดูคำร้องว่าการกระทำของรัฐสภาขัดรัฐธรรมนูญครับ และจะดูว่าศาลรัฐธรรมนูญว่ายังไง
สอนรัฐธรรมนูญมาสามสิบกว่าปีต้องทบทวนแล้วว่าจะสอนต่อไหม?!?!?!
การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่การประชุมในวันนี้ (20 ก.ค.) มีวาระสำคัญในการพิจารณารับทราบรายงานผู้สอบบัญชี และรายงานการเงินปีงบประมาณ 2564 ขององค์กรอิสระ 3 องค์กรได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต., สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. และผู้ตรวจการแผ่นดิน
ทั้งนี้ ก่อนเข้าสู่วาระการประชุม นายปดิพัทธ์ ได้แจ้งคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ ที่ให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ยุติการปฏิบัติหน้าที่ ตั้งแต่วันที่ 19 กรกฎาคมเป็นต้นไป หลังรับคำร้อง กกต. ให้วินิจฉัยคดีการถือครองหุ้น ITV ของนายพิธา จึงทำให้องค์ประชุมของสภาผู้แทนราษฎรขณะนี้มีทั้งสิ้น 499 คน องค์ประชุมครึ่งหนึ่งอยู่ที่ 250 คน
อย่างไรก็ตาม นายณัฐวุฒิ บัวประทุม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้ลุกขึ้นชี้แจงต่อที่ประชุมว่า แม้ศาลรัฐธรรมนูญ จะมีคำสั่งให้นายพิธายุติการปฏิบัติหน้าที่ แต่ยังไม่ได้มีคำวินิจฉัยใด ๆ และยังคงมีสถานะเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคก้าวไกลครบถ้วน สมบูรณ์ ทุกประการ ซึ่งหากมีโอกาส สส.ก็สามารถเข้าชื่อเสนอนายพิธา ให้รัฐสภาพิจารณาเป็นนายกรัฐมนตรีได้