อ.ธนพร ชี้ เศรษฐาผ่านนายกฯถ้าสละก้าวไกล

หลังจากที่ประชุมรัฐสภามีมติ ไม่เห็นชอบ ในการเสนอชื่อนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรีครั้งที่ 2 ทีมข่าวช่อง 8 สอบถามนักวิชาการที่เชี่ยวชาญเกี่ยวกับด้านกฎหมายและรัฐศาสตร์ รองศาสตราจารย์ด็อกเตอร์ ธนพร ศรียากูล นายกสมาคมรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ซึ่งท่านได้ให้มุมมองการเมืองไทยได้น่าสนใจมากการเสนอชื่อนายพิธา ถือว่าจบไปแล้วเพราะเป็นมติที่ทางรัฐสภาลงมติไปแล้ว ซึ่งวันที่ 27 ก.ค.ที่จะถึงจะไม่สามารถเสนอชื่อนายพิธาไม่ได้อีกแล้ว รัฐบาลสลับขั้วจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เพราะหากพรรคเพื่อไทยยังกอดกับพรรคก้าวไกลไว้แน่นอยู่ การเสนอชื่อนายเศรษฐา ในการโหวตนายกรอบที่ 3 ก็อาจจะไม่ได้รับคะแนนโหวตจากสมาชิกวุฒิสภา (สว.) อีกเช่นเคย

ผู้สื่อข่าวถามต่อ มีประเทศไหนในโลกที่มี ระบบการปกครองแบบประชาธิปไตย กลไกลรัฐสภาเสนอชื่อนายกฯแล้วไม่ผ่านการรับเลือกแบบนี้หรือไม่ อาจารย์ตอบว่าทุกประเทศก็มีอยู่แล้ว เจอเหตุการณ์แบบนี้ทั้งนั้น ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ แต่กติกายังไม่ถูกแก้ไข ก็ทำอะไรไม่ได้ พลังทางสังคมจะต้องส่งสัญญา กดดันไปทางพรรคเพื่อไทย หากได้เป็นรัฐบาลต้องรีบแก้ไขรัฐธรรมนูญและมีเวลาชัดเจนในการแก้ไข เมื่อวาน(19 ก.ค.)เป็นเกมส์วัดใจ หากทางพรรคเพื่อไทยเสนอชื่อนายเศรษฐาก็อาจโหวตไม่ผ่าน พรรคเพื่อไทยต้องละเอียดกับเรื่องนี้ เพราะถ้าเสนอชื่อนายเศรษฐาแล้วก็จะเสนอได้ครั้งเดียว และครั้งต่อไปจะเหลืออีก 2 บัญชีรายชื่อที่จะเสนอได้ ถ้าเพื่อไทยอยากให้นายเศรษฐาผ่าน ก็ต้องสลัดพรรคก้าวไกลทิ้ง ภาษาทางวิชาการเรียกว่า “ประกอบสร้างความจริง”การเมือง ความเชื่อคือความจริง ตอนนี้พรรคเพื่อไทย กำลังสร้างความจริงจากความเชื่อ จะเห็นได้จากการที่พรรคเพื่อไทยมีการเคลื่อนไหวไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนภาพหน้าปกบน Facebook FAN pages รวมทั้งมีการปล่อยคลิปวิสัยทัศน์ของแคนดิเดตนายกฯและต่อไปเพื่อไทยจะมีการพูดถึงปัญหาต่างๆที่เกิดจากการจัดตั้งรัฐบาลล่าช้า ไม่ว่าจะเป็นปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ ปัญหาปากท้องพี่น้องประชาชน ปัญหาราคาน้ำมัน ซึ่งเพื่อไทยใช้กลยุทธ์แบบนี้มาตั้งนานแล้ว หากการสร้างความเชื่อให้เป็นความจริง ถ้าหากพรรคเพื่อไทยทำสำเร็จปัญหามวลชนก็จะเบาบางลง เพราะได้สิทธิโดยชอบธรรมในการเสนอชื่อนายกและเป็นเหมือนพรรคการเมืองสุดท้ายที่จะช่วยประชาชนได้ในนาทีนี้

ผู้สื่อข่าวถามถึง พรรคก้าวไกลพยายามถึงขีดสุดในการเป็นรัฐในครั้งนี้ อาจารย์ตอบการที่พรรคก้าวไกลรวมเสียงได้ 312 เสียงนั้นพอแล้ว เหตุที่พอแล้วเพราะว่า 312 เสียงพรรคก้าวไกลไม่อยากเป็นรัฐบาลที่แข็งแรง เบ็ดเสร็จ เพราะต้องการความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง อย่างที่นายพิธากว่าไว้เสมอว่า “ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม” เพราะไม่ได้ต้องการให้เพียง สส.ยอมรับแต่ต้องการให้ สว.ยอมรับด้วย การจัดตั้งรัฐบาลในรอบนี้เกิดขึ้นจากข้อจำกัดของรัฐธรรมนูญฉบับบเก่า ผู้สื่อข่าวถามต่ออีก 4 ปีข้างหน้าพรรคเพื่อไทยจะเป็นอย่างไรหากจัดตั้งรัฐบาลสลับขั้ว เอาพรรครัฐบาลชุดก่อนเข้าร่วม อาจารย์ตอบว่า หากเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลต้องเร่งทำผลงาน นโยบายที่เคยหาเสียงไว้ การแจกเงินดิจิตอล 10,000 บาท หากทำได้คะแนนนิยมก็จะกลับมา ส่วนพรรคก้าวไกล หากรอบนี้ได้เป็นฝ่านค้าน ต้องเร่งเสนอแก้กฎหมายที่จะได้ฐานเสียงเพิ่มมากขึ้น สำหรับพรรคอื่นๆถ้ายังไม่เปลี่ยนจุดยืนจะค่อยๆหายไป

จตุพร เชื่อสลัดก้าวไกล เพื่อไทยเจอวิกฤต

นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊คไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน “จบยก 1” โดยนายจตุพร กล่าวว่า เมื่อถึงคิวพรรคเพื่อไทยโหวตนายกฯ ในยกที่สอง นายเศรษฐา ทวีสิน คาดถูกเสนอเป็นแคนดิเดตนายกฯ คนแรก หากยังมีจุดยืนจับมือกับพรรคก้าวไกลเหนียวแน่น ไม่ทอดทิ้งกัน ผลลัพธ์ออกมาย่อมไม่ผ่านเสียง 376 เช่นกัน เพราะพรรคฝ่าย 188 เสียงกับ ส.ว.จะไม่สนับสนุน

ส่วนนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลนั้น ถือว่าเส้นทางสู่นายกฯ จบลงบริบูรณ์แล้ว แต่เขาลุกยืนขึ้นประกาศถอนตัวกลางห้องประชุมรัฐสภาอย่างสง่างาม ดังนั้น การโหวตนายกฯ ครั้งใหม่ฝ่าย 8 พรรค 312 เสียงจึงเลือกเสียงสนับสนุนเพียง 310 เสียงเท่านั้น เพราะนายพิธา ถูกศาล รธน. สั่งให้หยุดปฎิบัติหน้าที่ ส.ส. ตั้งแต่ 19 ก.ค.จนกว่าการวินิจฉัยกรณีถือหุ้นไอทีวีเสร็จสิ้น ขณะที่นายมูหะหมัดนอร์ มะทา ต้องรักษามารยาทเป็นประธานรัฐสภา ต้องงดออกเสียง

อย่างไรก็ตาม นายวันนอร์ มะทา นัดประชุมโหวตนายกฯ ครั้งใหม่ในวันที่ 27 ก.ค. นี้ สิ่งสำคัญ เมื่อฝ่าย 8 พรรคเหลือเสียง 310 เสียง ประกอบกับกติกาตาม รธน.บทเฉพาะกาล ม. 272 เป็นอุปสรรค จึงไม่มีทางอื่นใด นอกจากการข้ามขั้วไปจับมือกับฝ่าย 188 เสียง หรือหาเสียงจาก ส.ว.มาเพิ่มอีก 66 เสียง เพื่อหนุนให้นายเศรษฐา โหวตผ่านจำนวน 376 เสียง ได้เป็นนายกฯ แต่ความน่าจะเป็นยังยากลำบากอยู่ดี

นายจตุพร กล่าวว่า อุปสรรคเพื่อไทย คือพรรคฝ่าย 188 เสียงและ ส.ว.มีเงื่อนไขไม่เอาพรรคก้าวไกล ปัญหาจึงอยู่ว่า ถ้านายเศรษฐา อยากได้เสียงโหวตแล้ว จะต้องทิ้งเพื่อนหรือเปล่า? ถ้าเลือกทิ้งเพื่อนไปเป็นผู้ปกครองประเทศ ย่อมเป็นพฤติกรรมที่น่ากลัวอย่างยิ่ง
“ถ้านายเศรษฐา มีจุดยืนลักษณะเดียวกับพรรคก้าวไกล คือ มีลุง ไม่มีเรา หรือไม่ข้ามขั้วจับมือกับพรรคสืบทอดอำนาจรัฐประหารแล้ว ต้องกล้าแพ้ร่วมเป็นร่วมตายกับเพื่อน” นายจตุพรกล่าว

นายจตุพร กล่าวว่า ตำแหน่งนายกฯ ต้องมีเกียรติ เมื่อเพื่อไทยตกลงร่วมทางเดินกับ 8 พรรคและมีจุดยืนไม่จับมือกับฝ่ายยึดอำนาจ โดยเฉพาะพลังประชารัฐกับพรรครวมไทยสร้างชาติ คงต้องยึดเป็นสัจจะวาจาให้มั่นคงไว้ รวมทั้ง หากเลี่ยงไปดึงพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) มาร่วมคงยากอีก เพราะต้องผ่านความเห็นชอบของนายชวน หลีกภัย ผู้นำจิตวิญญาณของ ปชป. ส่วนพรรคชาติไทยพัฒนา ไม่ได้อยู่ที่ความเป็น “ศิลปอาชา” เห็นชอบอย่างเดียว แต่มีเงาอยู่ข้างหลังจะตัดสินใจมาร่วมกันหรือไม่ด้วย หรือทุ่มเทหาเสียงสนับสนุนจาก ส.ว.ก็ไม่ง่ายอีกเช่นกัน

“การโหวตนายกฯ ยกสองจึงไม่ได้ง่ายกับเพื่อไทยเลย ยิ่งทุกกลไกรัฐและพรรคการเมืองอีกฝ่าย ล้วนต่อสู้กับระบอบทักษิณมาอย่างเข้มข้น เพียงแต่ยกแรกต้องทำลายก้าวไกลก่อนเนื่องจากแหกโค้งชนะเลือกตั้งมาเป็นที่หนึ่ง เมื่อทำสำเร็จแล้ว จึงมาถึงขจัดเพื่อไทย ซึ่งเป็นเงื่อนไขการต่อสู้หลักของฝ่ายตรงข้าม

หากนายเศรษฐา ไม่ผ่านการโหวตเป็นนายกฯ แล้ว เมื่อถึงคิวเสนออุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวทักษิณ ชินวัตร จะเป็นเรื่องใหญ่อย่างน่าหวั่นวิตกกังวลสูง เมื่อถึงคราวอุ๊งอิ๊งโหวตเป็นนายกฯ แล้ว ผมเชื่อว่า ส.ว.จะโหวตให้ผ่าน 376 เสียง … เมื่อเดินมาติดกับดักผู้คนจะแห่ออกมาต่อต้านทั้งบ้านเมือง แล้วจะถูกปิดจ๊อบทันที” นายจตุพรกล่าว

นายจตุพร กล่าวว่า ถึงที่สุดแล้ว แคนดิเดตนายกฯ เพื่อไทยต้องได้รับเสียงและไปจับมือข้ามขั้วเท่านั้นจึงจะผ่าน 376 เสียง เพราะจะได้เสียงจากฝ่าย 188 มาเทให้เป็นหลักประกัน ดังนั้น นายเศรษฐา เป็นการลงทุนที่คิดหากำไร พยายามหนีการขาดทุน ล้วนมีหลักคิดไม่เดินไปหาความเสี่ยง ซึ่งทางการเมืองการลงทุนในตำแหน่งนายกฯ ย่อมไม่แตกต่างกัน

ส่วนสูตรที่ก้าวไกลยอมเทเสียงโหวตให้เพื่อไทยเป็นนายกฯ แต่ไม่ร่วมรัฐบาลนั้น นายจตุพร มั่นใจว่า คงเป็นไปไม่ได้ในทางการเมืองส่งเพื่อนไปตั้งรัฐบาลเช่นนี้ ขณะที่เมื่อโหวตแล้วยังมีก้าวไกลร่วมรัฐบาลด้วย จึงเป็นเงื่อนไขไม่ให้พรรคฝ่าย 188 เสียงมาร่วม โดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทย กับ ปชป. ล้วนติดปัญหาก้าวไกลทั้งสิ้น

“ฝ่าย 8 พรรค 312 เสียง (เหลืออยู่ 310 เสียง) เมื่อจับมือกันแล้ว ต้องอยู่ด้วยกันอย่างเหนียวแน่นเป็นข้าวต้มมัดไม่แยกจากกัน และต้องไม่มีการตระบัดสัตย์แอบไปจับมือกับพรรคลุง เมื่อเป็นเช่นนี้ การเมืองย่อมถึงทางตัน จากนั้นจะถึงเวลาของประชาชนและประเทศได้เริ่มต้นนับหนึ่ง เพื่อจัดการแก้ไขอุปสรรคที่เป็นปัญหาการพัฒนาบ้านเมืองอะไรที่เป็นปัญหาก็ต้องจัดการ รธน. 2560 เป็นปัญหาก็แก้ไขใหม่ ความเหลื่อมล้ำด้านพลังงานต้องสะสาง เรื่องที่ดินหรือทรัพยากรของชาติ ต้องจัดสรรด้วยความเป้นธรรมเท่าเทียม ดังนั้นทุกปัญหาต้องถูกหยิบยกมาเป็นวาระแห่งชาติเพื่อร่วมหารือขจัดอุปสรรค เพื่อประเทศจะได้เริ่มนับหนึ่งกันเสียที” นายจตุพรกล่าว

นายจตุพร กล่าวว่า หากเพื่อไทยแยกขั้วเพื่อเร่งตั้งรัฐบาลแล้ว จะถูกกวาดทั้งกระดานด้วยการยึดอำนาจอีก เนื่องจากเงื่อนไขประชาชนชุมนุมบนถนนถ้าเกิดปะทะกันรุนแรง ดังนั้น แต่ละฝ่ายต้องนิ่งอยู่กับที่ คือ ฝ่าย 312 เสียง ฝ่าย 188 เสียง และ ส.ว. ต้องยึดมั่นจุดยืนไม่โหวตให้ใคร และไม่มีฝ่ายใดย้ายข้างสลับขั้ว สิ่งนี้จะเป็นทางไปสู่การนับหนึ่งประเทศได้อย่างมีนัยยะสำคัญ

เดือด! จตุพรจี้ พท.ห้ามทิ้งก้าวไกล "มึงไม่ได้ กูไม่ได้" ถึงชนะ แต่ธนพรโต้สละถึงรอด