คำ ผกา ชี้ศัตรูต้องจับมือกัน
น.ส ลักขณา ปันวิชัย หรือ แขก คำผกา คอมเม้นต์เตตอร์ทางการเมืองเปิดเผยว่า สมาชิกวุฒิสภาทั้ง 250 คน ถูกแต่งตั้งขึ้นมาโดย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และได้บัญญัติกฎหมายเอาไว้ใน กฎหมายรัฐธรรมนูญ ปี พ.ศ 2560 ว่าสมาชิกวุฒิสภามีส่วนร่วมโหวตนายกรัฐมนตรี และที่สมาชิกวุฒิสภาทำหน้าที่ ไม่โหวตให้พรรคการเมืองที่ไม่ใช่ขั้วอำนาจเดียวกันเป็นนายกรัฐมนตรี ก็เป็นความถูกต้องของความคิดของสมาชิกวุฒิสภา เพราะทุกคนได้รับการแต่งตั้งจากผู้มีอำนาจมาจึงไม่แปลกที่สมาชิกวุฒิสภาทำหน้าที่ไม่เลือกนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน เพราะประชาชนไม่ได้เป็นคนแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภา ซึ่งเป็นค่ายกลที่กลุ่มอำนาจเก่าฝังอยู่ในรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว แต่พรรคการเมืองที่ลงสมัครรับเลือกตั้ง ในครั้งนี้ทุกคนก็รู้กฎกติกาที่ถูกกำหนดไว้อยู่แล้ว แต่ก็ยินดีที่จะลงเลือกตั้งและต้องการที่จะให้เกิดคะแนนเลนส์สไลด์เพื่อต้องการอำนาจเข้ามาแก้ไข เพราะรู้อยู่แล้วว่าหากได้รับ การชนะเลือกตั้งก็ไม่สามารถที่จะได้รับการโหวตจากสมาชิกวุฒิสภาให้เป็นนายกรัฐมนตรีได้ถ้าไม่ได้มาจากขั้วอำนาจเดิม
ส่วนการทำหน้าที่ของ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา เป็นไปด้วยความถูกต้องเพราะเมื่อไม่สามารถที่จะหาข้อยุติได้ว่า ญัตติดังกล่าวเป็นการเสนอซ้ำได้หรือไม่นั้น จึงต้องให้มีการลงมติเพราะหากประธานสภาใช้อำนาจในการพิจารณาว่าให้สามารถเสนอญัตติโหวตนายกรัฐมนตรีได้ก็อาจจะทำให้อีกฝ่าย ที่มีคะแนนเสียงมากกว่า วอล์คเอาท์ออกจากที่ประชุม จึงทำให้ประธานสภาได้ตัดสินใจให้มีการอภิปรายและ ลงคะแนนเสียงโหวตตามระบบ เพื่อเป็นการหาทางออกที่ถูกต้องที่สุด เพราะการเป็นประธานสภาต้องเป็นประธานทั้ง 750 คนของสมาชิกทั้งหมดไม่ใช่เอียงไปฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง จึงต้องทำหน้าที่เคารพสิทธิทุกคนในสภา ถึงแม้กติกาที่ถูกตั้งไว้จะบิดเบี้ยวก็ตาม
ส่วนเรื่องในการจัดตั้งรัฐบาลนั้นจะต้องรวมเสียงให้ได้ 376 แต่ขณะนี้พรรคการเมือง 8 พรรคที่เป็นฝ่ายจะจัดตั้งรัฐบาลนั้นมีคะแนนเสียงอยู่เพียงแค่ 312 เสียง จึงต้องหาคะแนนเสียงจากพรรคการเมืองอื่นที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามมาเพิ่มให้จำนวน 376 เสียง เพราะยังไงคะแนนเสียงจากสมาชิกวุฒิสภาก็จะไม่โหวตให้อยู่แล้ว จึงจำเป็นต้องไปหาคะแนนเสียงจากพรรคการเมืองอื่นเข้ามาให้ได้ถ้าไม่อย่างนั้นก็ต้องยอมเป็นฝ่ายค้าน แต่ตอนนี้ฝ่ายที่จะจัดตั้งรัฐบาลมีคะแนนเสียงถึง 312 เสียงแล้วจึงต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เป็นรัฐบาลเพื่อมีอำนาจในการแก้ไขในสิ่งที่รอมาเป็นระยะเวลายาวนาน ไม่เช่นนั้นฝ่ายตรงข้ามที่มีแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ถึง 5 คน อาจจะเข้ามาจัดตั้งรัฐบาล และกลับมามีอำนาจอีก เพราะฉะนั้นต้องเปลี่ยนเอาศัตรูมาเป็นนั่งร้านเพื่อที่จะให้ฝั่งประชาธิปไตยได้ครองอำนาจรัฐ แต่ถ้ายังห่วงสวยห่วงหล่อก็ต้องกลับไปอยู่จุดเดิมอย่างเช่นในปี 2562 และก็ไม่มีสูตรไหนแล้วนอกจาก หาคะแนนเสียง ส.ส มาให้ครบจำนวน และต้องมีพรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาลร่วมด้วย สวนหน้าตาของนายกรัฐมนตรีคนใหม่จะเป็นใครก็ไม่สำคัญ แต่ต้องมาจากคะแนนเสียงของที่ประชาชนเลือกตั้งเข้ามาตามคันลองระบอบประชาธิปไตยไม่ว่าจะเป็นใครก็ต้องรับให้ได้
ส่วนพรรคเพื่อไทยหากจะต้องจากกันกับพรรคก้าวไกลนั่นขึ้นอยู่กับพรรคก้าวไกลเพราะพรรคเพื่อไทยยืนอยู่ที่เดิมไม่ได้ไปไหน การที่พรรคก้าวไก่จะเป็นฝ่ายค้านหรือเป็นฝ่ายรัฐบาลขึ้นอยู่กับพรรคก้าวไก่ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับพรรคเพื่อไทย เพราะหากพรรคเพื่อไทยอยากเป็นรัฐบาล ก็ต้องเอาพรรคก้าวไกลไว้ ถึงแม้พรรคการเมืองอื่นจะอ้างว่าหากมีพรรคก้าวไกลจะไม่มาร่วมด้วยแต่ทุกพรรคก็อยากจะเป็นรัฐบาลอยู่แล้ว
ครูใหญ่ ขอ 8 พรรคจับมือให้แน่น
ล่าสุดวันนี้(21 ก.ค.66) ทีมข่าวช่อง 8 ได้เดินทางไปพบกับ นายอรรถพล บัวพัฒน์ หรือครูใหญ่ นักเคลื่อนไหวทางการเมือง เปิดเผยว่า ประเด็นที่โพสต์เรื่องข้าวต้มมัด ไม่ได้มีนัยยะอะไร ส่วนประเด็นความคิดเห็นในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี รอบที่ 3 ในวันที่ 27 ก.ค.ที่จะถึงนี้ หากถามว่าสูตรจัดตั้งรัฐบาลสูตรไหนจะจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จ ส่วนตัวไม่คาดหวังสูตรไหน แต่สูตรจัดตั้งรัฐบาลที่ใฝ่ฝันมากที่สุด คือสูตรจัดตั้งรัฐบาล 8 พรรคเดิมที่จับมือกันอยู่ในขณะนี้ และคงไม่เป็นไรถ้าเพื่อไทยจะขยับขึ้นมาเป็นผู้นำในการจัดตั้งรัฐบาล เนื่องจากพรรคเพื่อไทยมีแคนดิเดตนายกฯถึง 3 คน ซึ่งถ้าหากสูตรจัดตั้งรัฐบาลจาก 8 พรรคไม่สำเร็จ แน่นอนแคนดิเดตนายกฯของพรรคเพื่อไทยก็ต้องถูกสอยล่วงไปทีละคน ดังนั้นก่อนที่จะถึงการโหวตเลือกตั้งในวันที่ 27 ที่จะถึง พรรคร่วมทั้ง 8 พรรคต้องกอดกันไว้ให้แน่น ที่สำคัญต้องสำรวจขุมกำลังให้ดีและไม่อำพรางขุมกำลังซึงกันและกัน
ส่วนประเด็นที่ทางพรรคภูมิใจไทยและพรรครวมไทยสร้างชาติ ออกมาประกาศชัดว่ายังไงก็จะไม่ร่วมรัฐบาลหากผู้นำการจัดตั้งรัฐบาลอย่างเพื่อไทยยังมีชื่อพรรคก้าวไกลร่วมอยู่ด้วย เรื่องนี้ตนเองมองว่า เป็นสิทธิ์ของทั้งสองพรรค เพราะยังไงส่วนตัวเชื่อว่าหากขุมกำลังทั้ง 8 พรรคเกาะกันแน่นอยู่ถึงวินาทีสุดท้าย ก็ไม่จำเป็นต้องมีทั้งสองพรรคมาร่วมรัฐบาล
ส่วนประเด็นเรื่องของการแก้ไข้ ม.112 ว่าก้าวไกลควรถอยหรือไม่ ส่วนตัวมองว่ามันไม่ใช่ประเด็นในการเลือกยายกฯที่แท้จริง ซึ่งสิ่งที่แท้จริง คนที่ออกมาอภิปรายไม่ว่าจะ ส.ว.หรือ ส.ส. เขายกเรื่องนี้เพื่อปกป้องเรื่องของการที่จะถูกปฏิรูปกองทัพ หรือเรื่องทุนพลังงานที่อยู่เบื้องหลังหรือไม่ เพราะหากเปรียบเทียบจากหุ้นของกลุ่มทุนที่ผูกขาดกับกลุ่มอำนาจเดิม หลังจากมีข่าวก้าวไกลมีแนวโน้มเป็นรัฐบาล หุ้นตกทันที และพอมีแนวโน้มที่จัดตั้งรัฐบาลไม่ได้หุ้นดังกล่าวกลับขึ้นมาทันที
เพจทฤษฎีข้าวต้มมัด
ภายหลังจากที่ นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล แถลงข่าวเรื่องการจัดตั้งรัฐบาล ระบุว่า พรรคก้าวไกล จะเปิดโอกาสให้ประเทศ ให้พรรคอันดับ 2 คือ พรรคเพื่อไทย เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ของพันธมิตร 8 พรรคที่เราได้เคยทำเอ็มโอยูร่วมกันเอาไว้ ดังนั้นในการประชุมรัฐสภาครั้งต่อไป พรรคก้าวไกลจะเสนอชื่อ แคนดิเดตจากพรรค เพื่อไทย เป็นนายกฯคนที่ 30 เช่นเดียวกับที่พรรค เพื่อไทย เคยสนับสนุนพรรคก้าวไกล