จากกรณีชาย 2 คน สวมใส่เครื่องแบบตำรวจดักทำร้ายร่างกายเหยื่อบนถนนทางเปลี่ยวโดยมีการใช้รถจักรยานยนต์ 1 คัน และ รถเก๋งอีก 1 คัน จอดขวางถนนคล้ายว่าเกิดอุบัติเหตุ ก่อนยืนดักและเรียกรถกระบะของเหยื่อตรวจสอบ
โดยคนร้ายสวมเครื่องแบบตำรวจ 2 ราย ได้ใช้เครื่องช็อตไฟฟ้าไล่ช็อตเหยื่อเป็นชายรายหนึ่งซึ่งเป็นพ่อค้าน้ำเต้าหู้ได้รับบาดเจ็บ ก่อนพยายามจับเหยื่อมัดมือมัดเท้าและจับยัดใส่รถกระบะของเหยื่อที่ขับมา
จากนั้นระหว่างทางได้พยายามปล้นทรัพย์สินของเหยื่อ แต่เหยื่อได้แกะมัดและหนีตายลงจากรถออกมาได้ ทำให้คนร้ายได้ชิงรถยนต์กระบะของเหยื่อหลบหนีไป พร้อมกับเงินสดจำนวน 3,000 บาทไป
โดยพลเมืองดีที่เห็นเหตุการณ์บันทึกไว้ได้ขณะชายแต่งกายคล้ายตำรวจ 2 นายกำลังเครื่องช็อตไฟฟ้าจี้เหยื่อ เอาไว้ได้
ผู้เสียหายเล่าเหตุการณ์เฉียดตาย
ล่าสุดวันนี้ทีมข่าวช่อง 8 ได้เดินทางไปพูดคุยกับ นายจีรวัตร หรือ ป็อป อายุ 25 ปี พ่อค้าน้ำเต้าหู้ผู้บาดเจ็บ เล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่า ช่วง 2 ทุ่มเมื่อคืนนี้ ตนเองเพิ่งขายน้ำเต้าหู้ที่ตลาดนัดเสร็จ จากนั้นได้ขับรถกระบะเพื่อเดินทางกลับบ้าน แต่ระหว่างทางกลับบ้าน ตนเองต้องขับผ่านเส้นทางเปลี่ยวซึ่งเป็นทุ่งนา ไม่มีไฟฟ้าส่องสว่าง
และได้ไปพบกับรถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งถูกจอดล้มขวางถนนอยู่ โดยมีรถเก๋งสีดำอีก 1 คันไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนจอดขวางหันหัวชนกันคล้ายกับเกิดอุบัติเหตุ ส่วนบนถนนมีชายสองคนแต่งกายคล้ายเครื่องแบบตำรวจ คนหนึ่งรูปร่างผอมสูง ส่วนอีกคนรูปร่างอ้วน ยืนส่องไฟฉายให้ตนเองชะลอความเร็วและเรียกให้ตนเองหยุดรถเพื่อขอตรวจค้น
ตอนนั้นตนเองคิดว่าเป็นตำรวจจึงจอดรถ และได้เปิดกระจกถามชายสองคนว่า “ข้างหน้ามีอะไร” แต่ทันทีที่ตนเองเปิดกระจกรถก็ถูกชายหนึ่งคนได้ใช้เครื่องช็อตไฟฟ้าช็อตใส่เข้าตนเองบริเวณหน้าอกและแผ่นหลัง ทันที ก่อนที่จะเปิดประตูลากตนเองลงจากรถ ส่วนชายอีกคนได้ถอดกุญแจรถของตนเองเอาเก็บไว้
ตนเองพยายามต่อสู้ เอามือปัดป้อง และร้องให้คนช่วยเหลือ เนื่องจาก มีรถอีกคันหนึ่งขับตามหลังมาด้วย โดยตะโกนบอกว่า “อย่าทำผมๆ ช่วยด้วยๆ มันตำรวจปลอมๆ” แต่คาดว่า พลเมืองดีที่เป็นคนถ่ายคลิปอาจจะกลัวและคิดว่า พวกนั้นเป็นตำรวจจับยาเสพติด เพราะคนร้ายได้พูดกลับตนเองไปว่า “มึงหาว่ากูเป็นตำรวจปลอม เดี๋ยวกูฟ้องมึงนะ” ซึ่งอาจจะทำให้พลเมืองดีไม่กล้าเข้าไปช่วย
จากนั้นตนเองได้บอกกับคนร้ายว่า “จะเอาอะไร พี่เอาไปเลยผมยอมแล้ว” แต่คนร้ายได้ทำร้ายตนเองไม่หยุดและถามว่า “มึงไปทำอะไรมา มึงเอายาไว้ที่ไหน” ซึ่งตนเองเชื่อว่า คนร้ายอาจจะพูดให้พลเมืองดีที่ถ่ายคลิปคิดว่าเป็นตำรวจจริงๆ
จากนั้นคนร้าย 2 คน ได้ช่วยกันจับตนเองนอนคว่ำ และเอามือตนเองจับไพล่หลัง ตอนแรกคนร้ายจะใส่กุญมือตนเอง แต่ตนเองดิ้นหลุดและจับกุญแจมือโยนทิ้งป่าข้างทางทำให้คนร้ายหาไม่เจอ
จากนั้นคนร้ายได้เปลี่ยนเป็นใช้เชือกเอามามัดมือมัดเท้าตนเองแทน ก่อนจะจับตนเองอุ้มขึ้นเบาะหลังของรถกระบะ 4 ประตูของตนเองที่ขับมา และพาตัวตนเองออกจากจุดเกิดเหตุ
ซึ่งก่อนขับพาตนเองออกจากจุดเกิดเหตุ คนร้าย 2 คนได้ช่วยกันนำรถมอเตอร์ไซค์ที่จอดล้มอยู่บนถนนยกขึ้นท้ายรถกระบะตนเองไปด้วย ก่อนที่คนร้ายชายร่างอ้วนได้เป็นคนขับรถพาตนเองไป ส่วนคนร้ายร่างผอมได้ขับรถเก๋งสีดำที่จอดอยู่ขับตามหลัง
โดยระหว่างทางตนเองพยายามร้องขอความช่วยเหลือ และคนร้ายปล่อยตนเองไป แต่คนร้ายกลับพูดเปลี่ยนเรื่องถามตนเองอยู่ตลอดว่า “มึงไปทำอะไรไว้ ใครเอาของมาให้มึง”
กระทั่งถึงบริเวณสี่แยกไฟแดงใกล้บิ๊กซี อ.ท่าเรือ คนร้ายได้ขับรถกระบะตนเองเข้าลานจอดก่อนจะนำเรียกพวก ซึ่งตนเองไม่ทราบว่ามีกี่คน มาช่วยยกรถมอเตอร์ไซค์ลงจากท้ายกระบะรถ จากนั้นกลุ่มคนร้ายได้ยืนคุยกันสักพักคล้ายกับหารืออะไรบางอย่าง ตนเองจึงพยายามแก้มัดที่คนร้ายได้มัดตนเองไว้จนหลุด และอาศัยจังหวะทีเผลอ ข้ามจากเบาะหลังมาคล่อมบริเวณเบาะหน้ารถเพื่อจะขับรถหนี เพราะไม่อยากให้คนร้ายนำรถไปด้วย
แต่ตอนนั้นคนร้ายได้หันมาเห็นทันและรีบถีบหน้าอกตนเองจนร่วงลงจากรถ และดึงกุญแจรถตนเองไว้ ตนเองจึงรีบวิ่งไปขอความช่วยเหลือกับแม่ค้าร้านก๋วยเตี๋ยวแถวนั้น ทำให้คนร้ายทั้งหมดตกใจและรีบขับกระบะของตนเองขับหลบหนีไปทันที
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตนเองคิดว่าหากตนเองไม่ใช้ความกล้าที่จะหนีในช่วงเวลานั้น ตนเองอาจจะถูกคนร้ายอุ้มไปฆ่าที่ไหนสักทีไปแล้ว ยืนยันที่ผ่านมา ไม่เคยมีศัตรูที่ไหน ขายน้ำเต้าหู้หาเลี้ยงชีพไปวันๆ มีเงินติดตัว 3,000 บาท จากการขายน้ำเต้าหู้ คนร้ายก็ปล้นไปหมด เสียใจมากที่มาเจอเหตุการณ์แบบนี้ และอยากให้ตำรวจช่วยจับตัวมาดำเนินคดีให้ได้
GPS และกล้องวงจรปิด ระบุสถานะรถกระบะ
ขณะเดียวกันทีมข่าวช่อง 8 ได้ติดตามนายจีรวัตร หลังจากสอบปากคำเสร็จ โดยเจ้าตัวและครอบครัวกำลังกลัวว่า รถที่ถูกอดีตตำรวจรายนี้ปล้นชิงไปนั้นจะตามกลับมาไม่ได้ และหวั่นว่ารถจะถูกขับข้ามชายแดนหลบหนีไปแล้วหรือไม่ โดยเจ้าตัวได้เปิดสถานะรถผ่านแอบพลิเคชั่น ให้กับทีมข่าวดูพบว่า รถของตัวเองถูกคนร้ายถอด GPS ที่ติดกับรถออกแล้ว ทำให้ไม่สามารถติดตามได้ว่า รถของตัวเองตอนนี้อยู่ที่ไหน
แต่ผู้เสียหาสยังคงสามารถดูสถานะของรถและเลขไมล์กิโลเมตรของรถได้อยู่ ซึ่งเจ้าตัวเปิดแอปฯให้ทีมข่าวดู ล่าสุดขณะนี้ช่วง 18.00 น. เลขไมล์รถกลับวิ่งไปถึง 9,590 กิโลเมตร ขับไปประมาณกว่า 1,300 กิโลเมตรแล้ว
ล่าสุดทีมข่าวช่อง 8 ได้ภาพจากกล้องวงจรปิด ตัวที่ใกล้จุดที่ผู้เสียหายถูกปล้นมากที่สุด ซึ่งอยู่ห่างจากจุดปล้นประมาณ 800 เมตร เราได้ภาพจากกล้องวงจรปิดบริเวณปั๊มน้ำมันเเห่งหนึ่ง คลิปตัวที่ 1 ช่วงเวลาประมาณ 20.38 น. จะเห็นรถกระบะวีโว่สีขาวของผู้เสียหาย ขับเข้าไปภายในถนนทางหลวงชนบทจุดที่ถูกปล้น โดยคนร้ายใช้เวลาปล้นทั้งหมดประมาณ 22 นาที
คลิปตัวที่ 2 เวลาประมาณ 21.00 น. จะเห็นรถกระบะของผู้เสียหายขับออกมาจากจุดเกิดเหตุ ซึ่งตัวผู้เสียหายถูกมัดมือมัดเท้าอยู่ภายในรถแล้ว และคนร้ายรูปร่างอ้วนได้เป็นคนขับรถออกจากจุดปล้น
จากนั้้นคลิปตัวที่ 3 เวลาประมาณ 21.00 น. หรือ 24 วินาทีหลังจากรถกระบะขับออก จะเห็นรถเก๋ง 1 คัน ได้ขับตามหลังมาติดๆ ซึ่งเป็นรถของคนร้ายอีกคนที่เดินทางมาร่วมก่อเหตุด้วย
คลิปวงจรปิดตัวที่ 4 ช่วงเวลาประมาณ 22.58 น. กล้องวงจรปิดบริเวณลานจอดใกล้สี่แยกไฟแดง บิ๊กซี ท่าเรือ ที่คนร้ายนำรถมาจอด และผู้เสียหายได้วิ่งหลบหนี จะเห็นว่า ตำรวจได้เดินทางมาที่เกิดเหตุแล้ว โดยผู้เสียซึ่งยืนสวมไม่เสื้ออยู่นั่น กำลังให้การกับตำรวจ
รู้ตัวคนก่อเหตุเป็นอดีตตำรวจ เคยก่อคดีมาแล้ว
ล่าสุดตำรวจได้ออกหมายจับผู้ก่อเหตุแล้ว 1 ราย ซึ่งทราบว่าคือ ด.ต.บรรเทิง แตงอ่อน อายุ 51 ปี ซึ่งเป็นอดีตผู้บังคับหมู่ สภ.ท่าเรือ อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี จากการตรวจสอบประวัติพบว่า ก่อนหน้านี้เมื่อ 9 ปีก่อนเจ้าตัวเคยก่อคดีใช้อาวุธปืนขนาด .38 มม. จ่อยิง นายจำนง สะอิ้งทอง อายุ 57 ปี และ นางปราณทิพย์ แซ่ลิ้ม อายุ 51 ปี 2 สามีภรรยา นักธุรกิจค้าน้ำมะนาว จนเสียชีวิตทั้ง 2 คน เหตุเกิดขึ้นที่บริเวณ ถ.บางแพ-ดำเนิน ม.10 ต.บางแพ อ.บางแพ จ.ราชบุรี เมื่อวันที่ 7 ก.ค. 57 ซึ่งขณะนั้นเป็นคดีที่โด่งดังมาแล้ว
ส่วนสาเหตุในขณะนั้น ด.ต.บรรเทิง แตงอ่อน ได้ก่อเหตุเนื่องจากความแค้นที่โดน 2 สามีภรรยา ทวงหนี้ค่าน้ำมะนาวบรรจุขวด ที่ทำธุรกิจร่วมกันไว้ จำนวนกว่า 50,000 บาท ซึ่งผู้ตายพยายามตามทวงแต่ดาบตำรวจก็ไม่ยอมจ่าย จึงขู่จะนำไปฟ้องผู้บังคับบัญชา จึงได้ก่อเหตุเพราะความแค้น
แม่ยายปัดไม่รู้เรื่องลูกเขยยืมรถไปก่อเหตุ อ้างแวะมาหาลูกบ้างบางครั้งคราว
ขณะเดียวกันทีมข่าวได้เดินทางไปสอบถามแม่ยายของนายบรรเทิงผู้ก่อเหตุ โดยเจ้าตัว อ้างว่า ลูกสาวได้เลิกกับลูกเขย ไปตั้งแต่ 9 ปีก่อนแล้ว หลังจากลูกเขยได้ก่อเหตุคดีฆ่าสะเทือนขวัญยิงผัวเมียเสียชีวิตสองศพ ซึ่งหลังจากลูกชายออกจากคุกก็เดินทางแวะมาเยี่ยมหาลูกบ้างบางครั้งคราว ส่วนเมื่อคืนที่เกิดเหตุ ลูกชายเดินทางมาที่บ้าน และเอารถมอเตอร์ไซค์ของตนเองไปใช้ก่อเหตุ ตนเองไม่ทราบ เพราะปกติรถมอเตอร์ไซค์หลานชายจะเอาไปใช้ขี่ไปซื้อก๋วยเตี๋ยวเท่านั้น
ตนเองหลังทราบข่าว ยอมรับว่าเสียใจมาก และหมดคำพูดจะพูดกับลูกเขยแล้ว เพราะ 9 ปีก่อนก็เตือนแล้ว แต่ลูกเขยไม่เคยฟังตนเอง พูดให้ลูกเขยไปมอบตัวก็เท่านั้น เพราะรู้ว่าลูกเขยไม่เคยฟังตนเอง