กรณีแม่ค้าตลาดย่านบางเสาธง กรุงเทพ ส่งคลิปหลักฐานอาการบาดเจ็บ พร้อมกับร้องเรียนขอความช่วยเหลือไปยัง "คิง สะพานใหม่" พร้อมกับมีการเล่าเรื่องราวระบุว่า "เขาข่มขู่ว่าต่อให้ไปแจ้งสน. ไหนก็ไม่มีใครช่วยหรอก เพราะว่าเขาจ่ายส่วยสน.บางเสาธง อยู่ต่อให้ไปสายไหมต้องรอด หรือไปรายการไหนๆ ก็แล้วไม่ช่วยหรอก เพราะว่าเขาใหญ่เอาเขาไม่ลงเขาบอกว่าให้ไปแจ้งความเลยเขาบอกทางผู้ใหญ่ใครก็เอาเขาไม่ลงข่มขู่แม้กระทั่งถ้าออกขายของเมื่อไหร่ก็โดนเมื่อนั้นคะ เขาพูดว่า #กูให้มึงไปแจ้งความเลยนะมึงออกมาเมื่อไหร่มึงก็จะโดนกูเมื่อนั้นมึงออกกูไปขายขายของเมื่อไหร่มึงก็โดนกูเมื่อนั้นเงิน 4,500 บาทกูตบมึงแค่นี้ยังน้อยไปแล้วมึงจะคิดว่ากูหมูมึงเอากูไม่ลงแน่นอนต่อให้มึงไปแจ้ง สน. ภาษีเจริญสน. บางเสาธงมึงก็โดนเขาไล่กลับ กูบอกเลยอย่างมากก็แค่จ่ายแค่ค่าปรับ มึงไปคิดดีๆนะว่ามึงจะยอมจบหรือไม่จบถ้ามึงแจ้งความมึงก็จะโดนเมื่อนั้นกูใหญ่พอกูบอกเลยเขา พูดแบบนี้ค่ะ"
วันนี้ (25 ก.ค.) ทีมข่าวเดินทางไปเจอกับนางสาวแมว (นามสมมติ) อายุ38ปี แม่ค้าในตลาด ในฐานะผู้เสียหายที่โดนทำร้ายร่างกาย เปิดเผยว่า เหตุการณ์ของตนเองเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 8 ก.ค. เวลาประมาณ 14.00น. โดยระหว่างที่ตนเองกำลังขายของอยู่ภายในตลาด ได้มีผู้ชายคนหนึ่งทราบชื่อในเวลาต่อมาคือนายโอ (นามสมมติ) อายุประมาณ38-40ปี มาลากออกไปจากแผงขายของ ให้ไปเคลียร์ที่มุมอับหลังตลาด ซึ่งบังคับให้เดินตามออกไปหลังตลาด ตนเองก็เดินตามออกไป
โดยช่วงนี้ภาพกล้องวงจรปิดจับภาพเอาไว้ได้ เมื่อไปถึงได้พาไปนั่งร้านกิ๊ฟช็อปแผงนึง ซึ่งมีเสาบัง ทำให้ช่วงที่ถูกทำร้ายร่างกาย โดยถูกตบที่บริเวณใบหน้าฝั่งขวา2ที และตบฝั่งซ้ายอีก2ที พร้อมกับมีการข่มขู่ ซึ่งกล้องวงจรปิดไม่เห็นตัวของคนก่อเหตุ เห็นเพียงมือที่ตบใบหน้าตนเอง ซึ่งเข้าใจว่าตัวของคนก่อเหตุรู้ว่ามุมอับ กล้องวงจรปิดจับภาพไม่ได้
ก่อนหน้านี้ตนเองไม่เคยรู้จักกับผู้ชายคนดังกล่าว แต่พอหลังเกิดเหตุได้มีการไปลงบันทึกประจำวันและแจ้งความเอาไว้ที่ สน.บางเสาธง กรุงเทพฯ จนกระทั่งทราบว่านายโอมีส่วนเกี่ยวข้องกับร้านขายกิ๊ฟช็อป เพราะเนื่องจากตนเองไปกู้เงินนอกระบบจากเจ้าของร้านขายกิ๊ฟช็อป จำนวนเงิน 10,000 บาท แต่มีการจ่ายดอกรายวันวันละ 100 กว่าบาท และมีการจ่ายต้นต่อเนื่อง จึงทำให้มูลค่าเงินต้นตอนนี้เหลือ 4500 บาท แต่ผู้ชายคนดังกล่าวได้บุกมาที่แผงขายของของตนเอง พร้อมกับบอกว่าอยากจะให้จ่าย 4500 บาทให้ครบตามจำนวน และต้องการเงินเดี๋ยวนี้อยากให้จบทุกอย่าง ซึ่งตนเองก็งงว่าไปกู้เงินกับเจ้าของร้านกิ๊ฟช็อป แต่ทำไมถึงมีผู้ชายอีกคนเค้ามาทวงเงินแทน สุดท้ายมารู้ภายหลังว่าชายคนดังกล่าวอ้างว่าเป็นเจ้าของเงิน จึงมาทวงและทำร้ายร่างกายตนเอง แล้วที่ผ่านมายืนยันว่าตนเองไม่เคยที่จะขาดส่ง มีการส่งให้ต่อเนื่องมาเป็นปี แต่ยอดหนี้เพียงแค่หลัก 10,000 ก็เพิ่งจะลดลงไปเพียงแค่ครึ่งเดียว และมีเพียงไม่กี่ครั้งที่ลืมจ่าย แต่ก็มีการจ่ายดอกค่าปรับมาตลอด ฉะนั้นจึงค่อนข้างกังวลใจ ที่ตนเองไม่ได้ทำอะไรผิดแต่ถูกมาทวงเงินก้อนคืน พร้อมกับมีการทำร้ายร่างกายตนเอง
และหลังจากถูกทำร้ายร่างกาย ปรากฏว่าชายคนดังกล่าวมีการข่มขู่ทำนองว่า "กูไม่กลัวใครหรอก แค่ตำรวจบางเสาธง ก็พวกกูทั้งนั้น แน่จริงมึงก็ไปแจ้งความสิ แล้วมึงจะรู้ว่าเค้าไม่รับแจ้งความมึง และกูก็ไม่ธรรมดา" จึงทำให้ตนเองรู้สึกค่อนข้างกังวลใจ และเคยเข้าไปขอแจ้งความแล้ว1ครั้ง แต่ตำรวจกลับไม่รับแจ้งความ แล้วอ้างว้าง “เป็นลูกหนี้ยังไงเจ้าหนี้ก็เหนือกว่าเสมอ” จึงทำให้ตนเองยืนยันว่าจะเอาผิด สุดท้ายตำรวจก็ให้ไปรวบรวมหลักฐานเอง ตนจึงต้องไปที่ตลาดเพื่อเอากล้องวงจรปิด และเอาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับผู้ชายคนดังกล่าว ไปรวบรวมส่งให้ตำรวจภายหลัง แต่ก็มีเพียงแค่แจ้งข้อกล่าวหา “ตบตีในที่สาธารณะ” จากนั้นทุกอย่างก็ดูเงียบไป แล้วปรากฏว่าชายคนดังกล่าวอ้างว่ารู้จักกับตำรวจ สน.บางเสาธง มีการส่งตำรวจนอกเครื่องแบบบุกมาที่บ้านของตนเอง มาข่มขู่และเรียกเงินก้อนคืน 4500 บาท หักจ่ายทุกอย่างก็จบ แล้วอย่าคิดไปฟ้องหรือบอกใคร ซึ่งตนเองก็มองว่าชายคนดังกล่าวไม่ใช่คนธรรมดาตามที่มีการอวดสรรพคุณเอาไว้จริง จึงค่อนข้างกังวลใจในเรื่องของความปลอดภัย และนับตั้งแต่เกิดเรื่องจนถึงปัจจุบัน ตนเองก็ไม่กล้าที่จะไปขายของอีกเพราะกลัว และที่สำคัญยังรู้ว่ามีผู้เสียหายจึงเป็นแม่ค้าในตลาดอีกหลายคนก็ถูกทำร้ายร่างกายโดยไร้เหตุผลจากชายคนดังกล่าวเช่นกัน
ภายหลังการให้สัมภาษณ์นางสาวแมว แม่ค้าในฐานะผู้เสียหาย ได้มีการส่งแชตข้อความ LINE ซึ่งมีนายโอคนก่อเหตุมีการข่มขู่ หลังจากที่มีการทำร้ายร่างกายในตลาดแล้ว มีการส่งข้อความมาทำนองว่า “เดี๋ยวกูจะเอามึงให้อยู่ไม่ได้ , มึงจะทำอะไรก็ตามใจ กูไม่สนใจอยู่แล้ว กูทำร้ายมึงก็เสียแค่ค่าปรับ , กูไม่ปล่อยผ่านแน่”
ทีมข่าวยังได้ลงพื้นที่ไปยังตลาดวัดชัยฉิมพลี บางเสาธง ซึ่งเดินทางไปยังที่เกิดเหตุตามที่มีภาพจากกล้องวงจรปิดจับภาพเอาไว้ได้ พบว่าเป็นร้านกิ๊ฟช็อปสำหรับขายของจุกจิกและเครื่องสำอาง โดยมีนางสาวแนน (นามสมมติ) เป็นเจ้าของแผง และตลาดดังกล่าวมีการขึ้นป้ายชัดเจน “ห้ามไม่ให้พ่อค้าแม่ค้าทะเลาะตบตีหรือทะเลาะวิวาทกัน หากมีการกระทำผิดหรือฝ่าฝืนจะถูกไล่ออกทั้งคู่ ไม่ให้มีการค้าขายในตลาดอีก”
แต่ช่วงที่ทีมข่าวเดินทางไปที่แผงขายกิ๊ฟช็อป ปรากฏว่าตอนนั้นตัวของนางสาวแนนไม่ได้อยู่ที่ร้าน มีพ่อและแม่นั่งขายของแทน ซึ่งเบื้องต้นแม่และพ่อของนางสาวแนนแผงกิ๊ฟช็อปที่เกิดเหตุ ให้ข้อมูลกับทีมข่าวว่า “ร้านไม่ได้เกี่ยวข้องกับการทะเลาะกัน เพราะตลาดระบุเอาไว้ชัดเจนว่าห้ามไปให้พ่อค้าแม่ค้าทะเลาะกัน ไม่เช่นนั้นจะถูกไล่ออก แต่ตัวของผู้ชายคือนายโอผู้ถูกกล่าวหา ไปดึงเอานางสาวแมวผู้เสียหาย ซึ่งเป็นแม่ค้าในตลาดมานั่งเคลียร์ปัญหาที่หลังร้านของตนเองเท่านั้น จึงยืนยันว่าร้านไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือรู้เห็นเกี่ยวกับการทำร้ายร่างกาย”
จนกระทั่งช่วงหนึ่งทีมข่าวรออยู่ที่กลางตลาด ปรากฏว่านางสาวแนน (นามสมมติ) เจ้าของแผงขายกิ๊ฟช็อป ในฐานะผู้ถูกกล่าวหาที่ผู้เสียหายอ้างว่ามีการยืมเงินจากนางสาวแนนแต่มีการส่งให้นายโอมาเคลียร์ปัญหาแทน ได้ขับรถเข้ามาเจอกับทีมข่าวพอดี
นางสาวแนน บอกว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องของการติดเงิน และตัวของแม่ค้าเหล่านั้นก็ไปติดเงินกับนายโอ ซึ่งเป็นเจ้าของเงิน แต่ตนเองไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเงินจำนวนดังกล่าว และไม่ได้เป็นเจ้าหนี้นอกระบบ แต่เป็นเพียงแค่คนแนะนำหรือตัวกลางเท่านั้น ซึ่งหลังจากที่มีแม่ค้าในตลาดมาหาแหล่งเงินเพื่อจะออกใช้หมุนในการค้าขาย ตนเองในฐานะคนกลางก็แนะนำให้รู้จักกับนายโอ ซึ่งนายโอก็เป็นคนปล่อยกู้
แต่หลังจากที่แม่ค้าเหล่านั้นไม่จ่ายตามเวลาที่กำหนด ตนเองก็ต้องมีการจ่ายแทนให้กับหลายคน แต่ช่วงหลังมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นจึงจ่ายไม่ไหว ก็ต้องให้เจ้าของเงินเข้ามาเคลียร์เอง โดยเจ้าของเงินก็เข้ามาเพื่อที่จะเรียกแม่ค้าที่มีปัญหาไปเคลียร์ทีละคน แต่ในเคสของนางสาวแมว มีการพูดปากแจ๋ว มีการใช้คำพูดท้าทายนายโอ ทำนองไม่มีไม่หนีไม่จ่าย ทำให้นาบโอเกิดความฉุนเฉียวจึงได้มีการตบทำร้ายร่างกาย แต่ก็เข้าใจว่ามีการแจ้งความดำเนินคดีกันไปแล้ว ซึ่งก็ว่าไปตามขั้นตอนของกฎหมายแต่เมื่อมีคนผิด
สำหรับกรณีที่นายโอมีการข่มขู่ กลุ่มแม่ค้าที่เป็นผู้เสียหายนั้น ตนเองไม่รู้ว่ามีการไปคุยกันอะไรบ้าง แต่ยืนยันว่านายโอเป็นเพียงแค่เจ้าของเงินที่คอยช่วยเหลือและให้แม่ค้าได้หมุนเวียนหยิบยืมกันในตลาด แต่ไม่ใช่ตำรวจ หรือว่าจะไปอ้างว่าเป็นผู้มีอิทธิพลหรือผู้ที่ยิ่งใหญ่ในพื้นที่บางเสาธง ก็เป็นเพียงแค่คนธรรมดาที่คอยช่วยเหลือแม่ค้าที่เดือดร้อนเท่านั้น แต่ในเมื่อแม่ค้าไม่จ่ายคนเป็นเจ้าของเงินก็ต้องเข้ามาทวงเอง
วันเดียวกันนี้ ทีมข่าวยังได้เดินทางไปเจอกับนางสาวเอม (นามสมมติ) ผู้เสียหายซึ่งเป็นแม่ค้าขายเสื้อผ้าอีกรายในตลาด โดยเจ้าตัวถูกนายโอ มีการทำร้ายร่างกายในช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา (ก.ค.) ซึ่งมีการขาดส่งเงินต้น2วัน แต่ถูกคนพวกมาพร้อมอาวุธมีดเข้ามาทำร้ายร่างกายกลางดึกในบ้าน จนกระทั่งเนื้อตัวช้ำเขียว และยังเอาอาวุธมีดมาข่มขู่ลูกชายซึ่งป่วยออทิสติก โดยมีการก่อเหตุ กับคนที่ไม่มีทางสู้แล้วยังจะทำร้ายลูกที่ป่วยออทิสติกด้วย นั้น
นางสาวเอม โชว์บาดแผลที่ยังพอมีร่องรอยหลงเหลืออยู่ให้ทีมข่าวดู โดยมีรอยช้ำเขียวบริเวณขาซ้าย และนิ้วนางข้างขวาลักษณะบิดงอ เพราะเกิดจากการถูกกระทืบเมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา
แม่ค้า เปิดใจพร้อมน้ำตา และเสียงสะอื้น ว่า ตนเองยอมรับว่าได้มีการไปยืมเงินจำนวน 10,000 บาทจากร้านขายกิ๊ฟช็อป แล้วมีการยืมเพิ่มอีก 5000 บาท จนกระทั่งมีเงินต้นอยู่ที่ 15,000 บาท แต่ก็ได้มีการจ่ายผ่านไปแล้วประมาณ6เดือน เงินต้นที่จะต้องจ่ายเหลือ 5000 บาท แต่ทั้งนี้ก็มีการจ่ายรายวันอยู่ที่ 250 บาททุกวัน จนกระทั่งก่อนวันเกิดเหตุ ตัวของแม่ค้าขายกิ๊ฟช็อป บอกว่า “เราหยุดจ่ายดอกเบี้ยกันซัก2-3วัน แล้วให้มีการจ่ายเงินต้นเพื่อที่จะให้เงินต้นรถดีกว่า” ตนเองได้มีการจ่ายเงินต้นผ่านไป1วัน แต่วันที่สองไปขายของไม่ได้เพราะป่วย จึงไม่มีเงินส่งในวันดังกล่าว แม่ค้าขายกิ๊ฟช็อป จะได้ไปโทรเรียกให้นายโอ ซึ่งอ้างว่าเป็นเจ้าของเงินตัวจริง ใครเข้ามาจัดการเคลียร์ปัญหาที่ไม่จ่ายเงินที่ขาดส่งเพียงแค่1วัน
โดยในวันดังกล่าวตนเองไม่ได้ไปเปิดร้านขายของ นอนพักรักษาตัวอยู่บ้าน แต่ช่วงค่ำวางโทรศัพท์เอาไว้ในบ้าน แล้วไม่ได้ดูโทรศัพท์ ซึ่งตัวของนายโอพยามติดต่อมา ตนเองไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์จึงไม่ได้รับสาย ในวันดังกล่าว เวลา 21.00น. นายโอได้มาพบกับกลุ่มชายฉกรรจ์ คบกับอาวุธมีด บุกมาที่บ้านของตนเอง มาถึงไม่ได้พูดพร่ำทำเพลง ถามว่าทำไมตนเองถึงไม่รับโทรศัพท์ ชึ่งกำลังอาบน้ำอยู่ แต่ตัวของนายโอไม่ได้ฟังอะไร มีการจับตัวได้กดลงที่โซฟาแล้วกระทืบ จนกระทั่งตนเองได้รับบาดเจ็บไปทั้งตัว และตนเองพยายามตะโกนเรียกให้ลูกชายซึ่งป่วยเป็นออทิสติกลงมาช่วย ปรากฏว่าตัวของนายโอก็ได้เอาอาวุธมีดมาข่มขู่ลูกชาย ทำให้เกิดความตกใจกลัว ซึ่งก็ไม่คิดด้วยซ้ำว่าจะจิตใจโหดเหี้ยมเอามีดสปาร์ต้ายาวมาข่มขู่เด็กออทิสติก
และหลังเกิดเหตุก็ยังมีการข่มขู่เช่นกับแม่ค้าคนอื่นที่โดนทำร้าย อ้างทำนองว่า “เป็นคนไม่เบาในพื้นที่ อยากรู้ว่าจะเจออะไรบ้างก็ไปแจ้งความ หรือไม่ก็ไปบอกตำรวจบางเสาธง ใหญ่ไม่กลัวใคร แค่นี้เคลียร์ได้” จึงทำให้ตนเองค่อนข้างหวัดกลัวเรื่องความปลอดภัย แล้วตัดสินใจที่จะมาคุยกับผู้เสียหายซึ่งเป็นแม่ค้าอีกคน แล้วพากันไปแจ้งความพร้อมกัน แต่ในคดีของตนเองตำรวจรับแจ้ง แล้วรับปากว่าจะมีการแจ้งข้อกล่าวหา “บุกรุก กับ ทำร้ายร่างกาย” แต่จนถึงขณะนี้ก็ไม่รู้ว่าเป็นยังไงบ้าง เพราะทุกอย่างก็ดูเงียบไปหมด และที่สำคัญยังพยายามที่จะส่งตำรวจนอกเครื่องแบบ มาที่หน้าบ้านของตนเองเกือบทุกวัน ซึ่งตนเองก็ค่อนข้างกลัว เพราะตัวของนายโอคนก่อเหตุมีการขู่เอาไว้ว่ารู้จักกับตำรวจ จึงไม่แน่ใจว่าตำรวจที่มานั้นมีประสงค์ดีหรือประสงค์ร้าย
อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวเข้าใจว่าการเป็นหนี้ก็ต้องชดใช้ แต่ตนเองก็ไม่เคยที่จะไม่หนีไม่จ่าย พร้อมที่จะจ่ายให้ครบตามจำนวนที่มีการหยิบยืมอยู่แล้ว แต่ทำไมถึงอ้างว่าเป็นคนไม่เบาในพื้นที่ รู้จักกับตำรวจพื้นที่ แล้วใช้คำพูดแบบนี้มาข่มขู่ให้แม่ค้าหวาดกลัว แล้วยังมีการบุกบ้านทำร้ายร่างกายโดยที่ไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย
ขณะที่พ.ต.อ.ศุภศักดิ์ โปรียานนท์ ผกก.สน.บางเสาธง ให้ข้อมูลกับทีมข่าวว่า จากกรณีที่นายโอมีการกล่าวอ้างตำรวจพื้นที่ หรือรู้จักสนิทสนมกับตำรวจพื้นที่ถึงขั้นไหว้วานให้ไปข่มขู่ผู้เสียหายนั้น เบื้องต้นเข้าใจว่าน่าจะเกิดจากบุคคลที่รู้จักกับตำรวจแต่ไปแอบอ้าง แต่ยืนยันว่าไม่มีตำรวจภายในพื้นที่ไปร่วมกระทำผิดอย่างแน่นอน ทางนี้จะรีบดำเนินการตรวจสอบให้โดยทันที ว่ามีตำรวจนายใดมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แต่ตัวของนายโอไม่ใช่ตำรวจ หรือลูกหลานตำรวจในพื้นที่แน่นอน
ทั้งนี้ส่วนตัวอยากจะฝากถึงผู้เสียหาย หากไม่ได้รับความเป็นธรรมหรือถูกข่มขู่คุกคาม ก็อยากให้เข้ามาติดต่อกับตนเองโดยตรง หรือนำหลักฐานที่เข้าใจว่าถูกข่มขู่หรือคุกคามมามอบให้กับตนเอง เพื่อที่จะดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป เพราะเข้าใจว่าเรื่องของการยืมเงินเป็นเรื่องที่ต้องมีการคืนเงิน แต่เงินดังกล่าวเป็นการปล่อยหนี้นอกระบบซึ่งผิดกฎหมาย แต่ส่วนเหตุการณ์ทำร้ายร่างกายหรือข่มขู่เป็นคดีทางอาญา ดังนั้นก็ต้องว่าไปตามกระบวนการ