พนักงานสาวเคาน์เตอร์เช็กอินน้ำตาไหล ดีใจได้โทรศัพท์คืน หลังเจ้าหน้าที่ตามรวบชายชาวคูเวต ฉกไอโฟนในท่าอากาศยานสุรรณภูมิ
วันที่ 31 ก.ค. 2566 ภาพจากกล้องวงจรปิดที่หน้าเคาน์เตอร์เช็กอินของสายการบินแห่งแห่งหนึ่งภายในสนามบินสุวรรณภูมิ ที่ชั้น 4 ผู้โดยสารขาออก จับภาพได้ขณะที่มีผู้โดยสารชาวชาวคูเวตคนหนึ่งมาติดต่อพนักงานเช็กอินที่เคาน์เตอร์สายการบิน เพื่อแจ้งการเดินทางจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ปลายทางประเทศคูเวต ระหว่างที่พนักงานสาวผู้เสียหายตรวจสอบเอกสารและกระเป๋าสัมภาระที่ต้องโหลดใต้ท้องเครื่องบิน ปรากฏว่า สัมภาระของผู้โดยสารชาวคูเวตรายนี้มีน้ำหนักเกิน ซึ่งจะต้องชำระส่วนต่าง พนักงานสาวจึงใช้โทรศัพท์มือถือส่วนตัวในการแจ้งยอดค่าใช้จ่ายส่วนต่างกับผู้โดยสารรายนี้
จากนั้น ผู้โดยสารรายนี้จึงทำทีมากดเงินที่ตู้เอทีเอ็มก่อนจะย้อนกลับไปที่เคาน์เตอร์เดิม และอาศัยจังหวะที่พนักงานสาวประจำเคาน์เตอร์รายนี้ กำลังเตรียมเอกสารและกระเป๋าโหลดนั้น ซึ่งเธอเองยังคงวางโทรศัพท์ของเธอที่นำมาชี้แจงค่าใช้จ่ายให้กับผู้โดยสารรายนี้ดู วางไว้บนที่กั้นระหว่างพนักงานกับผู้โดยสารที่หน้าเคาน์เตอร์ ผู้โดยสารชาวคูเวตรายนี้อาศัยจังหวะที่เธอเผลอ แอบฉกโทรศัพท์ของเธอใส่กระเป๋ากางเกง แล้วทำเนียนเดินไปเตรียมขึ้นเครื่อง
ไม่นานผู้เสียหาย คือ พนักสาวประจำเคาน์เตอร์มารู้ตัวว่าโทรศัพท์หาย จึงมั่นใจว่าเป็นผู้โดยสารคนนี้ เธอจึงรีบไปแจ้งความที่ สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และประสานขอความช่วยเหลือไปยังเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการพิเศษท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ขอให้ช่วยติดตามผู้โดยสารคนดังกล่าวก่อนจะขึ้นเครื่องออกจากสนามบินไป ต่อมาในเวลาเดียวกันศูนย์ปฏิบัติการพิเศษจึงรายงานเรื่องนี้เร่งด่วนไปยัง นายกิตติพงศ์ กิตติขจร ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสนามบินสุวรรณภูมิ จึงมีคำสั่งให้เร่งติดตามตัวผู้โดยสารที่ต้องสงสัยเพื่อพิสูจน์ทราบข้อเท็จจริงในเรื่องนี้
ฝ่ายสืบสวนศูนย์ปฎิบัติการพิเศษ จึงนำกำลังพร้อมพนักงานสาวผู้เสียหาย ติดตามไปดักรอที่ประตูทางออกขึ้นเครื่องบิน แต่พอไปถึงกลับพบว่า พนักงานสายการบินแจ้งว่า ผู้โดยสารไม่ประสงค์จะเดินทาง และอยู่ระหว่างออฟไลน์ เจ้าหน้าที่จึงไปตรวจสอบจุดตรวจค้นสัมภาระผู้โดยสารที่ผู้โดยสารรายนี้จะต้องผ่านจุดดังกล่าว พอไปถึงก็พบผู้โดยสารต้องสงสัยทันที ซึ่งเจ้าตัวอยู่ในขั้นตอนของการเอกซเรย์ ผู้เสียหายจึงเฝ้ารอการตรวจสอบสัมภาระของผู้โดยสารที่ต้องสงสัยรายนี้ ซึ่งเจ้าตัวกลับพบว่ามีพิรุธโดยทำเนียนเดินผ่านประตูเอกซเรย์ เพื่อลองเครื่องเอกซเรย์ของสนามบินสุวรรณภูมิว่าจับสิ่งของภายในกระเป๋ากางเกงได้หรือไม่ และทันทีที่เดินผ่านประตู เจ้าหน้าที่พบสิ่งผิดปกติที่อยู่ในกระเป๋าของผู้โดยสารรายนี้ จึงให้นำทรัพย์สินทั้งหมดออกมาผ่านเครื่องเอซเรย์อีกครั้ง ซึ่งเจ้าตัวยอมควักทรัพย์สินในกระเป๋ากางเกงออกมา หนึ่งในนั้นคือโทรศัพท์ไอโฟนของผู้เสียหาย จึงจำนนด้วยหลักฐาน แต่เจ้าตัวปฏิเสธโดยอ้างว่าเป็นโทรศัพท์ของตนเอง เจ้าหน้าที่และผู้เสียหายจึงเชิญตัวมาที่ สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพื่อแจ้งพนักงานสอบสวน และขอให้ดำเนินคดีในข้อหาลักทรัพย์ในท่าอากาศยาน
ตำรวจจึงคุมตัวนายอาลาซมี่ สัญชาติคูเวต อายุ 39 ปี ไปบันทึกจับกุม และส่งตัวให้พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาลักทรัพย์ในท่าอากาศยาน ถึงแม้เจ้าตัวจะปฏิเสธในข้อหาดังกล่าวก็ตาม โดยอ้างว่าเป็นการเข้าใจผิดคิดว่าเป็นโทรศัพท์ของตนเอง แต่จากการตรวจสอบพฤติกรรมของผู้ต้องหารายนี้พบว่า หลังจากที่มีการซื้อตั๋วเครื่องบินเพื่อเดินทางแล้ว กลับพบว่าไม่ยอมไปขึ้นเครื่องบินโดยไม่แจ้งเหตุผลใดๆ อีกทั้ง หลังจากที่หยิบเอาโทรศัพท์ของผู้เสียหายมาแล้ว ผู้เสียหายพยายามโทรเข้าเครื่อง สายติดแต่ไม่รับสายหลายครั้ง จนกระทั่งมีการปิดเครื่องหนี นอกจากนั้นภาพวงจรปิดยังเป็นหลักฐานชัดเจนที่ผู้ต้องหารายนี้ พยายามเลี่ยงให้ตรวจสอบโทรศัพท์ผ่านเครื่องเอกซเรย์ ตำรวจจึงแจ้งข้อหาดังกล่าวและแจ้งสิทธิ์ให้กับเจ้าตัวทราบ
ด้านนางสาวรศิกาล พนักงานสาวผู้เสียหาย กล่าวว่า ตนเองทำหน้าที่เป็นพนักงานเช็กอินผู้โดยสารของสายการบิน ระหว่างกำลังให้บริการผู้โดยสารคนนี้ ปรากฏว่า ตนเองต้องใช้โทรศัพท์เพื่อกดตัวเลขค่าใช้จ่ายให้กับผู้โดยสารรายนี้ดู หลังจากนั้นตนจึงเตรียมเอกสารต่างๆ สักพักจนมาทราบอีกทีเมื่อตนเองจะต้องใช้โทรศัพท์จึงรู้ตัวว่าโทรศัพท์ของตนเองหายไป และมั่นใจว่าเป็นผู้โดยสารรายนี้ จึงรีบมาแจ้งความและขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ จึงไปตามพบโทรศัพท์ของตนเองในกระเป๋ากางเกงของผู้โดยสารท่านนี้จริง ชั่วโมงนั้นยอมรับว่าถึงกับร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจที่เจอโทรศัพท์ ต้องขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกนายที่ช่วยติดตามจนได้โทรศัพท์เครื่องนี้กลับคืนมา เนื่องจากเป็นโทรศัพท์ที่ตนเองเก็บเงินค่าแรงสะสมจนได้ซื้อมาในราคา 4 หมื่นกว่าบาท ส่วนที่ผู้ต้องหาพยามปฏิเสธก็เป็นสิทธิ์ของเขา แต่ในส่วนของตนเองยืนยันว่าจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด