เกาะกระแสการเมือง ที่มีการจับตา ทั้งการเตรียมเดินทางกลับไทยของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี รวมทั้งการจัดตั้งรัฐบาล
โดยสูตรการจัดตั้งรัฐบาล ที่จะส่งนายเศรษฐา ทวีสิน ชิงนายกรัฐมนตรี แต่จะไม่มี 2 พรรค คือ พรรคพลังประชารัฐ และ พรรครวมไทยสร้างชาติ และ ไม่มีพรรคก้าวไกล ซึ่งจะมี 239 เสียง
อีกสูตร ไม่มีลุงตู่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่มีลุงป้อม พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ จะได้ 279 เสียง
อีกสูตร แบบมี 2 ลุง จะมี 315 เสียง
ทีมข่าวช่อง8 สอบถามนายกิตติศักดิ์ รัตนวราหะ สมาชิกวุฒิสภา กล่าวถึงกรณีความเห็นที่พรรคเพื่อไทยจะเสนอชื่อแคนนิเดทนายกรัฐมนตรีในวันที่ 4 สิงหาคมนี้ ว่าจะไม่มีพรรคก้าวไกล ไม่มีพลังประชารัฐ และไม่มีพรรคร่วมไทยสร้างชาติ ในการร่วมจัดตั้งรัฐบาลในครั้ง โดยนายกิตติศักดิ์ กล่าวว่าตรงนี้ต้องแยกเป็น 2 ประเด็นว่า คอการเมืองติดใจอยู่นิดนึงว่า พรรคก้าวไกลกระโดดไปเป็นฝ่ายค้านแล้ว ทำไม่ก้าวไกล อาจจะมาโหวตแคนดิเดตนายกฯให้พรรคเพื่อไทย คำถามมีอยู่ว่าเมื่อเพื่อไทยได้นายกฯแล้วจะไปดึงเอาพรรคก้าวไกลมาร่วมจัดตั้งรัฐบาลหรือไม่ นี่คือประเด็นที่ 1 ส่วนประเด็นที่ 2 คือว่าพรรคเพื่อไทยสามารถจัดตั้งรัฐบาลเองได้หรือเปล่า สำหรับความเห็นสว.โดยเฉพาะ สว.กิตติศักดิ์ เห็นว่าว่าหากพรรคเพื่อไทย จัดตั้งรัฐบาลโดยไม่มีพรรคก้าวไกลโดยเด็ดขาดนั้น เพื่อไทยจะไปร่วมกับใครพรรคไหนในฐานะพรรคอันดับสองนั้น ที่ไม่มีพรรคก้าวไกลมาร่วมรัฐบาล ซึ่งเพื่อไทยจะไปร่วมกับพรรคไหน หรือจะเสนอใครเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีนั้น สว.ไม่ใช่หน้าที่และจะไม่ไปก้าวก่าย ทั้งนี้เพื่อที่ให้บ้านเมืองเดินไปข้างหน้าได้ สว.กิตติศักดิ์เองจำเป็นจะสนับสนุนให้ประเทศไทยเดินหน้า และมีนายกรัฐมนตรี
อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่า สว.กิตติศักดิ์ สนับสนุนพรรคเพื่อจัดตั้งรัฐบาลจะไปร่วมกับพรรคไหนนั้น ก็ยังเป็นห่วงพรรคเพื่อไทยด้วยซ้ำไป เพราะหากเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาลแล้วปัญหาเก่าๆ ปัญหาเดิมๆ จะกลับมารุมเล้าหรือเปล่า หากก้าวไกลประกาศเป็นฝ่ายค้านแล้ว กลับมาโหวตนายกฯให้พรรคเพื่อไทย และเพื่อไทยดึงก้าวไกล มาร่วมจัดตั้งรัฐบาลอีก ผมคิดว่าจะเป็นอันตรายต่อการเมืองไทยมาก ถึงขั้นแผ่นดินไหวถล่มทลายทีเดียว
โดยก่อนหน้านี้ มีคลิปที่นายเศรษฐา เคยตอบคำถามกับThestandardth ว่าจะมีการแก้มาตรา112 แต่ไม่ยกเลิก ทำให้ในวันนี้ ถูกพูดถึงอีกครั้ง หลังนายเศรษฐา จะถูกส่งชื่อชิงนายกรัฐมนตรี และถูกจับตาว่า จะมีการแก้มาตรา112หรือไม่
ส่วนอีกประเด็นการเมือง นั่นคือนายทักษิณจะเลื่อนกลับไทยหรือไม่ล่าสุด นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลของนายทักษิณ กล่าวถึงการเดินทางกลับไทยของนายทักษิณ วันที่ 10 ส.ค.นี้ ว่า ดีใจหากท่านจะกลับมา ในฐานะผู้เคยอยู่ใต้บังคับบัญชา และคิดว่าคนที่อายุ 74 ปี คงอยากจะกลับบ้านจริงๆ ไม่มีเรื่องการเมือง และคิดว่ารอบนี้คุณทักษิณพร้อมแล้ว ที่จะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม แม้มันจะไม่ค่อยเป็นธรรม ส่วนที่เลือกกลับมาในช่วงนี้ น่าจะเป็นเพราะอำนาจเก่าที่อยู่มาตั้งแต่ปี 57 เริ่มการคลายตัว ประชาชนไม่ยอมรับอีกแล้ว
เมื่อถามว่าเท่าที่ได้สัมผัสคุณทักษิณ เขาพร้อมกลับมาติดคุกจริงๆใช่หรือไม่ นายสุรนันทน์ ยอมรับว่า ตอนแรกๆตนไม่เชื่อว่าคุณทักษิณ จะกล้ากลับมาติดคุก เพราะท่านไม่ใช่นักโทษหนีคดีแบบปกติ แต่ท่านกึ่งลี้ภัยทางการเมือง มันมีเรื่องของความปลอดภัยเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งคุณทักษิณ เองก็ห่วงเรื่องนี้
เช่นเดียวกับตน ที่ยังห่วงใน 3 ประเด็น คือ 1.เรื่องของความปลอดภัย เพราะตอนที่ยังคงดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมีอำนาจเต็มก็เคยถูกรอบปองร้ายหลายครั้ง 2.ห่วงเรื่องกระบวนการยุติธรรม ที่ไม่ชัดเจนอาจต้องติดคุกยาวนานและห่วงการดำเนินคดีในคดีอื่นๆอีกเพิ่มเติม 3.กังวลเรื่องมวลชนที่ต่อต้านคุณทักษิณ อาจออกมาประท้วงซึ่งหากมันมากถึงขั้นเกิดความวุ่นวายมันก็จะกลายเป็นการเปิดประตูให้เกิดการรัฐประหารขึ้นได้อีก
"กระบวนการยุติธรรมมันจะเป็นไปตามแบบที่วางไว้จริงหรือไม่ ซึ่งตนก็ห่วงประเด็นนี้ ไอ้ที่บอกว่าจะเซ็ตซีโร่ เลยมันก็คงเป็นไปไม่ได้ แต่หากถามว่าวันนี้ใจคุณทักษิณน่าจะพร้อมมาติดคุกมากกว่าเมื่อก่อน
ดีกว่าให้คนเอารถถังออกมา บอกว่าจะมารักษาความสงบของบ้านเมือง พอรักษาความสงบเสร็จแล้วเป็นอำนาจของการรัฐประหาร ผมก็เป็นห่วงว่าถ้าคุณทักษิณกลับมาในช่วงรอยต่อแบบนี้ ถ้ามันเกิดเหตุการณ์แบบนั้นท่านจะไปยืนอยู่ที่ไหน ถ้าท่านยังยืนอยู่ในคุก ท่านจะออกมาได้ไหม ผมมองจากคนนอกด้วยความเป็นห่วง และมองจากคนนอกที่เคยทำงานกับท่าน และมองจากคนที่อยู่ในสายประชาธิปไตยซึ่งก็มีความห่วง" นายสุรนันท์ ระบุ
นายสุรนันท์ ยังกล่าวย้ำด้วยว่า คุณทักษิณเป็นผู้ใหญ่ที่มีความรับผิดชอบมากพอ หากบอกว่าจะกลับบ้านจะต้องไม่ทำให้บ้านเมืองมีปัญหา หากท่านประเมินแล้ว มันจะไม่มีความปลอดภัยหรือทำให้บ้านเมืองเกิดความวุ่นวายท่านคงไม่กลับ แล้วก็จะไปว่าท่านก็ไม่ได้ ท่านตัดสินใจบนสถานการณ์
ขณะที่ความเห็นของนักวิชาการ อย่างเช่น อ.วีรพัฒน์ ปริยวงศ์ นักวิชาการกฎหมายอิสระ ให้สัมภาษณ์กับช่อง8 กรณีการจัดตั้งรัฐบาลของพรรคเพื่อไทย ระบุว่า ตอนนี้ มี 2 สูตรหลักๆ คือ เพื่อไทย+พรรคพลังประชารัฐ+พรรครวมไทยสร้างชาติ + และพรรคอื่นๆ
ส่วนอีกสูตร คือ เพื่อไทย+ภูมิใจไทย+และพรรคอื่นๆ
ซึ่งในมุมมองของอาจารย์วีรพัฒน์ มองว่า หากพรรคเพื่อไทย อยากจัดตั้งรัฐบาลอย่างดูดี ก็ต้องหาวิธีเจรจากับทางพรรคก้าวไกล ให้เหตุผลกับพรรคก้าวไกลว่าตอนนี้ถึงทางตันแล้วจริงๆ ขอร้องให้พรรคก้าวไกลโหวตให้ แต่ต้องยอมถอยเป็นฝ่ายค้าน ซึ่งอาจารย์วีรพัฒน์ มองว่าเงื่อนไขเดียวที่ก้าวไกลจะยอมให้ก็คือว่าต้องไม่มีสองพรรค ของลุงป้อมและลุงตู่ แล้วก้าวไกลก็จะประกาศตัวเองว่าเป็นวีรบุรุษทางการเมือง ที่ยอมเสียสละในครั้งนี้ และเป็นผู้ที่ป้องกันไม่ให้สองลุงป้อมและลุงตู่กลับมาในรัฐบาล
ในขณะที่พรรคเพื่อไทยได้จัดตั้งรัฐบาล แต่จะกลายเป็นพรรคที่ดูไม่ดีในสายตาประชาชน และเมื่อเป็นรัฐบาลแล้วอาจจะมีกับดักทางการเมืองขัดขวางทำให้เป็นรัฐบาลได้ไม่นาน เช่นเรื่องมาตรฐานจริยธรรม ที่ถูกเขียนไว้โดยอาจารย์มีชัย แต่ไม่เคยถูกนำมาใช้กับรัฐบาลของพลเอกประยุทธ์
อาจารย์วีรพัฒน์ยกตัวอย่างเช่น คุณเศรษฐาได้เป็นนายกรัฐมนตรี แล้วมีคนไปร้องเรียนว่ามีปัญหาเรื่องที่ดินและเรื่องภาษี แม้สุดท้ายคุณเศรษฐาจะชี้แจงชัดเจนว่าไม่ผิดกฎหมาย แต่ถ้าหากว่ามีการตีความว่าผิดจริยธรรมตามรัฐธรรมนูญ กับดักนี้อาจจะทำให้พรรคเพื่อไทยเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ได้ไม่นาน เท่ากับว่าพรรคเพื่อไทยเสียรัฐบาล เสียนายก เสียเสียงประชาชน มีแต่แพ้กับแพ้
แต่ไม่ว่าจะสูตรไหนๆ อาจารย์วรพัฒน์ บอกว่า ถ้าเกิดว่าพรรคเพื่อไทยทิ้งก้าวไกล สุดท้ายแล้วพรรคเพื่อไทยก็อาจจะสูญพันธุ์ได้
ส่วนประเด็นเรื่องที่น่าจับตามองคือการพิจารณารับคำร้องของผู้ตรวจการแผ่นดินเกี่ยวกับการเสนอชื่อซ้ำโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี อาจารย์วีรพัฒน์ มองว่าศาลอาจมีความเห็นไม่รับคำร้องด้วยเหตุผลว่าผู้ร้องไม่ใช่คุณพิธาซึ่งเป็นเจ้าทุกข์โดยตรง แต่จะไม่ได้มีการตีความว่าสิ่งที่สภาได้ดำเนินการตามข้อบังคับข้อที่ 41 ไปนั้นทำได้หรือไม่ได้
ส่วนกรณีกระแสข่าว การเดินทางกลับมาประเทศไทยของคุณทักษิณนั้น อาจารย์วีระพัฒน์ มองว่า มีผลทางการเมืองแน่นอนเพราะโดยส่วนตัวมองว่าคุณทักษิณอาจจะถูกใช้เป็นเครื่องมือในการบูชายันต์ให้กับประชาชนเพื่อนแลกกับการจัดตั้งรัฐบาลของพรรคเพื่อไทย