จากกรณีเกิดเหตุโกดังเก็บประทัดและดอกไม้ไฟระเบิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ในพื้นที่ ต.มูโนะ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส แรงระเบิดทำให้บ้านเรือนประชาชน และรถยนต์พังเสียหายจำนวนมาก เมื่อวันที่ 29 ก.ค. ที่ผ่านมา จนทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 12 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 121 ราย
ล่าสุด ทางจังหวัดนราธิวาส เปิดบัญชีเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยฯมูโนะ ธนาคารกรุงไทย สาขานราธิวาส เลขที่บัญชี 905-3-66122-0
ขณะที่วันนี้ตำรวจและทหาร นำกำลังเข้าตรวจสอบบ้าน 2 ชั้น ในตลาดมูโนะ ซึ่งเป็นบ้านเจ้าพักโกดังพลุระเบิดอีกครั้ง ซึ่งเป็นบ้านที่เมื่อวานนี้ ชาวบ้านในชุมชนร้องทีมข่าวช่อง8 ว่าบริเวณชั้น2 ยังคงมีกล่องเก็บดอกไม้เพลิงและประทัด
โดยพลตำรวจตรีอนุรุธ อิ่มอาบ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนราธิวาส ให้ข้อมูลว่า จากการตรวจค้นบ้านพักของเจ้าของโกดัง 2 หลัง เมื่อวาน(30 ก.ค) ยึดของกลางกล่องดอกไม้เพลิงและประทัด 243 ลัง 40 กระสอบ ส่วนวันนี้(31 ก.ค.) ยึดกล่องดอกไม้เพลิงและประทัด 22 ลัง
ซึ่งทางเจ้าของโกดังพลุได้ประสานตำรวจขอมอบตัวทางโทรศัพท์แล้ว จะเข้ามาให้ปากคำพรุ่งนี้ ทางตำรวจเตรียมแจ้งข้อกล่าวหา แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้
นอกจากนี้ตนได้สั่งการให้ตรวจสอบเส้นทางธุรกิจ ว่ามีที่มา ที่พัก และปลายทางที่ใด ซึ่งเจ้าของโกดังจะต้องมีหลักฐานเป็นเอกสาร หากไม่พบเอกสารขออนุญาต ถือว่าผิดกฎหมาย และสั่งให้ตรวจสอบคลังสินค้าในพื้นที่เพิ่มเติม ว่ากระทำผิดกฎหมาย หรือไม่ รวมถึงพื้นที่อื่นๆ ใน7 จังหวัดภาคใต้ เพื่อดูความเชื่อมโยง
สำหรับเหตุการณ์โกดังพลุระเบิด เป็นโศกนาฏกรรม จนทำให้ติดเทรนด์ทวิตเตอร์ #โกดังพลุระเบิด โดยมีผู้ทวิตถึงมากกว่า 73,000 ครั้ง
วันนี้ทีมข่าวช่อง 8 เดินทางมาที่โรงพยาบาลสุไหงโก-ลก ทางครอบครัวของนายสมศักดิ์ ชูโชติ อายุ 76 อดีตผอ.โรงเรียนบ้านมูโน๊ะ และนางอุทัย ชูโชติ อายุ 78 ปี คู่สามีภรรยาที่เสียชีวิตในบ้านพัก มารับศพไปประกอบพิธีทางศาสนา
โดยครอบครัวนิมนต์พระสงฆ์มาประกอบพิธีเชิญดวงวิญญาณของทั้งคู่ เพื่อกลับไปประกอบพิธีทางศาสนา ที่วัดชลเฉลิมเขต มีกำหนดฌาปนกิจในวันเสาร์ที่ 5 สิงหาคมนี้
ทีมข่าวช่อง8 สอบถามนายฐิรายุ แสงเทียน อายุ 40 ปี ลูกเขยผู้เสียชีวิต บอกว่า ครอบครัวสะเทือนใจมากกับการสูญเสีย โดยบ้านพักหลังที่เกิดเหตุนายสมศักดิ์ ซึ่งเป็นพ่อตา และนางอุทัย ซึ่งเป็นแม่ยายของตนพักอาศัยที่บ้านพักดังกล่าวกันแค่สองคนเท่านั้น ปกติหากเป็นวันหยุดจะมีกลุ่มเด็กนักเรียนมาเรียนพิเศษกับพ่อตา แต่วันที่เกิดเหตุปรากฏว่าไม่มีคนมาเรียนพิเศษกับพ่อตา ซึ่งทั้งตนและพ่อตาก็แปลกใจ จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์โกดังเก็บดอกไม้เพลิงเกิดระเบิดขึ้นมา
ก่อนหน้านี้พ่อตาและแม่ยายไม่ได้บอกตนและภรรยาว่า มีโกดังเก็บดอกไม้เพลิงติดอยู่ด้านหลังบ้านพัก บอกเพียงว่าด้านหลังเป็นโกดังที่เจ้าของสร้างไว้ เพื่อเก็บของเท่านั้น และตนก็ไม่ได้ทราบข้อมูลก่อนหน้านี้ ว่าเจ้าของโกดังเก็บดอกไม้เพลิงมีบ้านพัก 2 หลังและมีโกดัง 1 หลัง รวมทั้งหมด 3 หลัง ซึ่งทุกจุดเก็บดอกไม้เพลิงและประทัดไว้
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทางภรรยาสะเทือนใจหนักมาก เพราะสูญเสียพ่อและแม่พร้อมกัน 2 คน ยังไม่รวมทรัพย์สินบ้านพักที่พังราบเป็นหน้ากอง หลังเกิดเหตุปรากฏว่าเจ้าของโกดังหายตัวไป ไม่ออกมาแสดงความเสียใจและแสดงความรับผิดชอบต่อ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ในส่วนนี้ตนก็ข้องใจถึงกับต้องถามผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส ว่าโกดังดังกล่าวมีใบอนุญาตให้ก่อสร้างกำลังชุมชนหรือไม่ ทางผู้ว่าราชการจังหวัดก็ตอบว่ามีใบอนุญาต เป็นโกดังที่ขายของชำ ตนก็ถามกลับทันทีว่าแล้วทำไมโกดังขายของชำถึงระเบิดได้ แต่ทางผู้ว่าฯ ก็บอกว่าทางภาครัฐไม่ทราบว่านั่นในโกดังลักลอบเก็บดอกไม้เพลิง
ทั้งนี้ นายฐิรายุ ยอมรับนาทีที่ได้ยินคำตอบโมโหมาก ว่าทำไมภาครัฐถึงไม่ส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบว่าเป็นที่เก็บของชำจริงหรือไม่ ซึ่งเหตุการณ์ลักษณะแบบนี้ขออนุญาตตั้งโกดังทั้งทางผู้ว่าฯ นายอำเภอ และเทศบาล ต้องมาตรวจสอบข้อเท็จจริง ไม่ใช่เซ็นใบอนุญาตให้แล้วก็คือจบไป พร้อมลงดาบหน่วยงานที่เซ็นใบรับอนุญาต
ขณะที่นางสาวกันยารัตน์ ชูโชติ อายุ 45 ปี ลูกสาวคนเล็กของผู้เสียชีวิต เปิดใจกับทีมข่าวช่อง 8 พร้อมส่งภาพแชตครอบครัวที่ได้พูดคุยกับพ่อแม่เป็นครั้งสุดท้าย คือวันที่ 28กรกฎาคมและวันที่ 29 กรกฎาคม
แชต1 เป็นการพูดคุยกับพ่อในวันที่ 28 กรกฎาคม โดยตอนนั้นตนและสามีพาลูกไปเที่ยวทะเลที่ต่างจังหวัด พ่อทักมาถามว่า “ อยู่ไหนกันแล้ว”ตนก็ตอบว่า “อยู่หาดปากเมงมาดํทะเลกัน”แล้วส่งรูปลูกชายตนขณะมาเที่ยวให้พ่อกับแม่ดู เพราะพ่อแม่รักหลานชายมาก
ขณะที่แชต2 ได้พูดคุยกับพ่อแม่ในวันเกิดเหตุ 29 กรกฎาคม แม่ทักมาถามตนช่วง 13.37 น.ว่า “กลับบ้านกันยัง กลับได้แล้วเย็นๆฝนจะตกเริ่มมืดมาแล้ว” นี่เป็นพ่อสุดท้ายที่ได้คุยกับพ่อและแม่ ไม่คาดคิดจะเกิดเหตุการณ์รุนแรงที่คร่าชีวิตทั้งสองไป
และแชต 3 ตนทักไปหาพ่อและแม่ “ได้ข่าวว่ามูโนะไฟไหม้หนัก ไหม้แถวไหนพ่อ” แต่ปรากฏว่าทั้งพ่อและแม่ไม่ตอบกลับ มาทราบภายหลังเสียชีวิตทั้งคู่
นางสาวกันยารัตน์ กล่าวว่า ตนทราบจากอาสาสมัครกู้ภัยว่า ทางกู้ภัยนำร่างของพ่อแม่ตนออกมาจากที่เกิดเหตุ ร่างพ่อแม่ตนถูกกำแพงบ้านล้มทับตัวเสียชีวิต ซึ่งทั้งบ้านถูกทำลายเป็นหน้ากองไม่เหลือแม้แต่ตัวโครงสร้าง ตอนที่ทราบว่าพ่อแม่เสียชีวิตทั้งคู่แทบใจสลาย เพราะเพิ่งคุยกับพ่อแม่ช่วงบ่ายก่อนเกิดเหตุ ทั้งคู่กำลังพักผ่อนในบ้าน
ที่ผ่านมาพ่อแม่เป็นห่วงตนมาก บอกตนและสามีไม่ต้องมาเยี่ยม เพราะกลัวเป็นอันตรายเนื่องจากแม้สถานการณ์สามจังหวัดจะปลอดภัยแล้วแต่ก็หวั่นเกิดเหตุซ้ำ
ส่วนกรณีที่ตนเองทราบหรือไม่ว่าด้านหลังบ้านพักพ่อแม่ติดโกดังดอกไม้เพลิง ตนไม่ทราบ แต่มีชาวบ้านบางคนบอกตนว่าเป็นโกดังเก็บดอกไม้เพลิง ซึ่งชาวบ้านบางส่วนเคยรวมตัวกันไปร้องเรียนขอให้ย้ายโกดังดังกล่าวออกจากชุมชน แต่เรื่องก็เงียบหายไป ตนไม่อยากจะพูดอะไรถึงเจ้าของโกดัง เพราะเขาคงเห็นจากข่าวที่ออกไป แต่ยังคงเงียบไม่ออกมาแสดงตัว อยากให้ออกมารับผิดชอบ เพราะผู้สูญเสียเสียหายทางใจ บุคคล ทรัพย์สิน ไม่มีอะไรเยียวยาได้ทั้งหมดกับสิ่งที่สูญเสียไป
แต่อยากฝากถึงหน่วยงานรัฐให้เข้มงวดการดูแลอาคารประเภทที่สุ่มเสี่ยงกับชาวบ้านในชุมชน เหมือนกรณีนี้เกิดความเสียหายที่ประเมินค่าไม่ได้ เช่น การออกใบอนุญาตก่อสร้างในชุมชน
วันนี้ทีมข่าวพบกับนายอักมัก ดอเลาะ หรือ อ.มัง อายุ 31 ปี ผู้สูญเสียเนื่องจากครอบครัวเสียชีวิต 5 คนจากเหตุการณ์พลุระเบิด เล่าว่า ครอบครัวของตนเสียชีวิตด้วยกันทั้งหมด 5คน คือ นายเด่น อาโอ๊ะ อายุ 63 ปี พ่อตา นางจันนิสา ดาโอ๊ะ อายุ 28 ปี ภรรยาของตน เด็กชายอิรชาด ดอเลาะ อายุ 4 ขวบ และ เด็กหญิงอมีลีน ดอเลาะ อายุ 8 เดือน ลูกสาวและลูกชายของตน รวมทั้งนางสาวอริสา ดาโอ๊ะ อายุ 19 ปี น้องสะใภ้ซึ่งฝังทั้ง 5 ศพ ไว้ที่กูโบร์ตามพิธีศาสนาอิสลาม
โดยนายอักมัก เล่าว่า วันเกิดเหตุแม่ยายและน้องชาย ออกไปทำธุระนอกบ้าน ส่วนตนพานักเรียนไปเตะบอล ทำให้พ่อตา , ภรรยา, ลูกสาวและลูกชาย, น้องสะใภ้ อยู่ในบ้านพักรวม 5 คน เมื่อตนทราบข่าวถึงกับทรุด เพราะไม่คาดคิดจะเกิดเหตุนี้ รวมทั้งยังไม่ได้บอกลาทุกคน โดยแต่งงานกับภรรยาตนใช้ชีวิตร่วมกันมา 5 ปี จนมีลูกน่ารัก 2 คน ชีวิตครอบครัวกำลังไปได้ด้วยดี มีความสุข แต่สุดท้ายเหตุการณ์นี้คร่าชีวิตคนในครอบครัว พร้อมทรัพย์สินทั้งหมดและตัวบ้าน ไม่เหลืออะไรเลย
ที่ผ่านมาพ่อของตัวเอง เคยคุยกับเจ้าของโรงงานแห่งนี้ว่า ทำไมถึงมาตั้งโรงงานพลุติดบ้านพัก และร้องเรียนไปยังฝ่ายปกครอง แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบอะไร โดยพ่อเคยพูดกับเจ้าของโรงงานว่าหากโรงงานระเบิด ตัวเองจะเป็นคนแรกที่เสียชีวิต แต่ก็ไม่คิดว่าวันนี้จะมาถึง
"ตนอยากให้เจ้าของโกดังออกมาขอโทษครอบครัวของตน รวมถึงครอบครัวผู้เสียชีวิต และครอบครัวที่สูญเสียทรัพย์สิน ไม่ใช่นิ่งเฉยและไม่ออกมาแสดงความรับผิดชอบ อยากสะท้อนเหตุการณ์นี้ว่า หากคนใน สังคมรักคนอื่นให้มากกว่าตัวเองก็คงไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ เพราะชีวิตคนไม่ใช่สิ่งของที่พังแล้วหาใหม่ได้ การเจอเหตุการณ์แบบตนที่สูญเสียครอบครัวเกือบหมดมันรับไม่ได้จริงๆ" นายอักมัก กล่าว
ส่วนอีกคนคุณอาชียะห์ อาแช ผู้ประสบภัย บอกว่า ปกติขายก๋วยเตี๋ยว ตอนนี้หมดเลย ทั้งอุปกรณ์ขายของ ทั้งถ้วยจานแก้วเสียหายหมดเลย น้ำท่วมยังเหลือบ้าน เรากลับมาล้างบ้าน เราก็อยู่ได้ แต่นี่ไม่เหลืออะไรเลย
นอกจากนี้ คุณสาวิตรี ซึ่งเป็น 1 ผู้ประสบภัย กล่าวว่า ตอนเกิดเหตุระเบิดหลังคาร่วง ทำให้รีบวิ่งหนีออกมาจนกระเบื้องบาดเท้า ปีที่แล้วเพิ่งน้ำท่วมหมดตัวไป โกดังห่างจากบ้านประมาณ 10 เมตร โชคดีที่ช่วงเกิดเหตุลูกออกไปเล่นข้างนอก ไม่เช่นนั้นอาจเกิดเหตุร้ายได้ พร้อมทั้งเรียกร้องให้เจ้าของโกดัง กลับมารับผิดชอบ เพราะบ้านพักก็พังเสียหาย งานก็ทำไม่ได้