จากกรณีเกิดเหตุโกดังเก็บประทัดและดอกไม้ไฟระเบิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ในพื้นที่ ต.มูโนะ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส แรงระเบิดทำให้บ้านเรือนประชาชน และรถยนต์พังเสียหายจำนวนมาก เมื่อวันที่ 29 ก.ค. ที่ผ่านมา จนทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 12 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 121 ราย บ้านเรือนเสียหายกว่า 300 หลังคาเรือน
โดยอีกช่องทางช่วยเหลือ มีการเปิดบัญชี รายได้สถานศึกษาโรงเรียนบ้านมูโนะ เลขที่บัญชี 914-3-04320-8 ธนาคารกรุงไทย สาขานราธิวาส
โดยมีบัญชีกลางซึ่งหน่วยงานรัฐเปิดบัญชีไว้ เพื่อช่วยเหลือชาวมูโนะ เลขที่บัญชี 905-3-66122-0 ชื่อบัญชี เงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยฯมูโนะ ธนาคารกรุงไทย สาขานราธิวาส
ส่วนความคืบหน้าคดี เจ้าของโกดังที่ระเบิด คือ นายสมปอง และ นางสาวปิยะนุช หลังมีกระแสข่าวว่าทั้งคู่ จะเข้ารับทราบข้อกล่าวหากับพนักงานสอบสวนสภ.มูโนะ หลังจากกลับจากต่างประเทศ แต่ยังไม่เข้าพบตำรวจ เบื้องต้นมีกำหนดเข้าพบพนักงานสอบสวน ภายในวันที่ 4 ส.ค.2566
วันนี้ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากแรงระเบิด ซึ่งสูญเสียทรัพย์สินรวมทั้งคนในครอบครัวเสียชีวิตและบาดเจ็บ ต่างเดินทางมาแจ้งความเอาผิดกับเจ้าของโกดังพลุระเบิดที่สภ. มูโนะตลอดทั้งวัน
ทีมข่าวได้พูดคุยกับ นายอนันต์ อายุ 69 ปี เป็นหนึ่งคนที่มาแจ้งความวันนี้ เล่าว่า บ้านพักของตนห่างจากจุดเกิดเหตุ 2 กิโลเมตร ได้รับผลกระทบจากแรงระเบิดครั้งนี้ ทั้งกระจก ฝาบ้าน ประตูเลื่อนบานกระจก หลังคา ห้องน้ำจำนวน 2 ห้อง เพดานบ้าน พัดลมติดเพดาน แตกหักกระจายใช้งานไม่ได้ ถึงแม้บ้านของตนจะเสียหายบางส่วน และเข้าพักอาศัยได้ แต่จากการประเมินซ่อมบ้านจะต้องใช้เงินทั้งหมด 420,000 บาท จึงมาแจ้งความเอาผิดเจ้าของโกดังเพื่อให้รับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ใช่บ้านของตนเท่านั้น แต่เป็นบ้านทุกหลังในตำบลมูโนะที่ได้รับผลกระทบ
นายอนันต์ เล่าว่า ตอนเกิดเหตุตนอยู่ในบ้านพัก ซึ่งได้ยินเสียงระเบิด 1 ครั้ง ตอนแรกนึกว่าเป็นเหตุการณ์ไม่สงบเป็นสงคราม จึงออกมาดูหน้าบ้านพักและพบควันไฟขึ้นบริเวณโกดังดอกไม้เพลิงถึงรู้ว่าโกดังดังกล่าวระเบิด ส่วนตัวรู้จักเจ้าของโกดัง คือ เจ้หลิน เจ้หลินโตมาในมูโนะ ตนเห็นมาตั้งแต่เด็ก และไม่คิดว่าคนหมู่บ้านเดียวกันจะก่อเหตุลักษณะนี้
ก่อนเกิดเหตุ2 วัน ตนเห็นรถบรรทุกบรรจุกล่องเก็บดอกไม้เพลิงประมาณ 2 คัน รถจอดหน้าโกดัง ช่วง 05.00 น. ของวันที่ 27 กรกฎาคม โดยมีพนักงานอยู่ในบริเวณดังกล่าวประมาณ 2 คน ตอนนั้นทราบทันทีว่าผิดปกติ คาดคงเก็บสินค้าในโกดังและส่งออกที่มาเลเซีย เพราะเจ้าของโกดังขายดอกไม้เพลิง 2 ที่ คือที่ตลาดมูโนะและมาเลเซีย ส่วนตัวอยากให้ดำเนินคดีกับเจ้าของโกดังอย่างเด็ดขาดตามกฎหมาย
*เอกสารจดทะเบียน
จากการตรวจสอบเอกสารการจดทะเบียนพาณิชย์ ของโกดังพลุที่ระเบิด สำนักทะเบียนพาณิชย์ อบต.มูโนะ ผู้จดทะเบียน คือ นางสาวปิยะนุช ชนิดแห่งพาณิชยกิจ ขายส่งปุ๋ยเคมีภัณฑ์ทางเกษตร , จำหน่ายอุปกรณ์การเกษตรและอุปกรณ์ประมง , จำหน่ายเครื่องสังฆภัณฑ์ ประทัดและดอกไม้ไฟตามช่วงเทศกาลต่างๆ , จำหน่ายเครื่องครัวและเครื่องใช้ไฟฟ้า สินค้าเบ็ดเตล็ด
เมื่อตรวจสอบประวัติทางคดีเจ้าของโกดังพลุระเบิด พบว่า เมื่อก.ค. 2559 ถูกดำเนินคดีในข้อหาห้ามมิให้ผู้ใด ทำ สั่ง นำเข้า หรือค้าซึ่งดอกไม้เพลิง โดยอัยการสั่งไม่ฟ้อง
จากการสำรวจบ้านเรือนเสียหาย จากเหตุโกดังพลุระเบิด มีจำนวน 329 หลังคาเรือน ประชาชนได้รับความเดือดร้อน 1,367 คน โดยมีบ้านเสียหายมาก 8 หลัง บ้านเสียหายบางส่วน 321 หลัง รถเก๋ง 6 คัน รถกระบะ 2 คัน รถจักรยานยนต์ 9 คัน
ทีมข่าวช่อง8 แกะรอยเส้นทาง2สามีภรรยาเจ้าของโกดังพลุระเบิด หลังจากเดินหน้าท่องเที่ยว โดยพบว่า เมื่อวันที่ 29 ก.ค.2566 วันเกิดเหตุ อยู่ที่จังหวัดสุพรรณบุรี และ ในวันที่ 31 ก.ค. 2566 ช่วงดึกอยู่ที่ประเทศมาเลเซีย โดยหากไม่พบตำรวจตามหมายเรียก จะถูกออกหมายจับต่อไป
ทีมข่าวช่อง8 ได้เดินทางมาที่บ้านพักของนางสาวเหม่ย อายุ 40 ปี น้องสาวของนางสาวปิยะนุช หรือ เจ๊หลิน เปิดใจว่า เริ่มแรกตนอยากฝากชาวบ้านว่าเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้น มันเหมือนฝันเพราะชั่วพริบตามันหมดเลย บ้านคนอื่น บ้านชาวบ้านตัวเอง บ้านญาติ ทุกคนเกิดความสูญเสีย ตนอยากขอโทษชาวบ้าน ขอโทษจริงๆ เราไม่อยากให้เหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้น
ทราบก่อนเกิดเหตุพี่สาวไปเที่ยวกับครอบครัวรวม 5 คน ที่ประเทศมาเลเซีย เนื่องจากเป็นวันหยุดยาวทางราชการ และลูก 3 คนหยุดไม่ต้องไปโรงเรียน จึงเดินทางไปเที่ยวตั้งแต่วันที่ 27 กรกฎาคม 2566
ส่วนประเด็นพี่สาวทำธุรกิจค้าดอกไม้เพลิงซึ่งมีโกดังในชุมชน พี่สาวได้เล่าให้ตนฟังว่ามีโกดังเก็บดอกไม้เพลิงในชุมชนมูโนะ แต่ตนไม่ทราบว่าได้ขอใบอนุญาตหรือไม่ และไม่ทราบว่าเป็นของพี่สาวคนเดียว หรือพี่สาวหุ้นส่วนเป็นเจ้าของกับสามี ซึ่งตนเคยเตือนหลายครั้งแล้วว่า ให้ระวังหากตั้งกลางชุมชนเพราะเสี่ยงหากเกิดอุบัติเหตุ แต่พี่สาวบอกว่าระวังอยู่
ส่วนตัวเคยอาศัยอยู่ในมูโนะนานมาแล้ว และย้ายออกมาอยู่ในตัวเมืองสุไหง โก-ลก มา10 ปีแล้ว จึงไม่ได้ก้าวก่ายหรือถามเรื่องธุรกิจของพี่สาว ทราบเพียงที่พี่สาวตั้งโกดังในชุมชนจะได้สะดวกการเคลื่อนย้ายสินค้า มีสองจุดที่ทราบว่าพี่สาวนำออกขายคือตลาดมูโนะและตลาดมาเลเซีย ยืนยันมีโกดังเก็บดอกไม้เพลิงที่มูโนะเท่านั้น ไม่มีที่อื่นอีกแล้ว และขายแค่ช่วงรอมฎอนเดือนเดียวเท่านั้น
ซึ่งก่อนเกิดเหตุเชื่อว่าพี่สาวขนกล่องเก็บดอกไม้เพลิงไว้ในโกดังชั่วคราว เพื่อเตรียมการหนีน้ำท่วม เพราะที่ผ่านมามูโนะน้ำท่วมบ่อย พอขนเข้าโกดังก็จ้างช่างมาเชื่อมเหล็กเพื่อทำชั้นวางโกดังหนีน้ำ ชี้ไม่มีใครตั้งใจจะเชื่อมเหล็กเพื่อให้กระเด็นโดนกล่องเก็บดอกไม้เพลิง แล้วจงใจให้เกิดระเบิด ยันเป็นอุบัติเหตุ
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพี่สาวตนถูกถล่มโจมตีทั้งทางชาวบ้านมูโนะ และทางโซเชียล อยากบอกว่าพี่สาวตนประมาท จึงเกิดเหตุครั้งนี้ แต่ที่ผ่านมาพี่สาวก็ช่วยชุมชนเยอะ ทั้งของบริจาค และเคยจ้างเด็กในชุมชนมาช่วยยกของ ที่ผ่านมาคนในชุมชนก็ยังเคยมาซื้อพลุกับประทัดกับพี่สาว แต่พอเกิดเหตุการณ์พี่สาวถูกถล่มโจมตี อยากให้ชาวบ้านเห็นใจพี่สาวบ้าง เพราะไม่มีใครอยากให้เกิดอุบัติเหตุ และทรัพย์สินครอบครัวพี่สาวก็เสียหายเหมือนกัน เหตุการณ์นี้เป็นเพราะความประมาทของช่างเชื่อมเหล็ก
ตนเชื่อว่าพี่สาวตนไม่หนี แต่อาจยังไม่ทราบข่าวที่เกิดขึ้น เชื่อว่าหลังรู้แล้วจะมาแสดงตัว คาดว่าน่าจะเดินทางกลับจากมาเลเซียหลังวันหยุดยาว
นายสุวรรณ อายุ 56 ปี เปิดเผยว่า อาศัยอยู่ที่นี่ตั้งแต่เกิดแล้วที่ผ่านมา ก็คือไม่เคยมีเหตุการณ์แบบนี้ ปกติอาศัยอยู่บ้านหลังนี้อาศัยอยู่ด้วยกัน 4 คน มีพี่สาวและหลานอีก 2 คน ซึ่งวันเกิดเหตุนอนอยู่ข้างในบ้าน และหลานอีก 2 คนก็นอนอยู่ข้างในแต่พอดีพี่สาวออกไปข้างนอก ซึ่งในบ้านก็มีหลานที่ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งในตอนที่เกิดเหตุนั้นนอนอยู่ดีๆก็ได้ยินเสียงระเบิด และหลังคาบ้านอะไรก็พังหมดเลย ซึ่งพอเกิดเหตุการณ์แบบนี้ก็อยากให้เจ้าของโกดังรับผิดชอบเรื่องบ้าน และที่ผ่านมาก็รู้ว่าโกดังแห่งนี้เก็บดอกไม้ไฟแต่ก็ทำอะไรไม่ได้พูดอะไรไม่ได้ เพราะไม่มีใครสามารถไปคัดค้านเขาได้ และตอนนี้ที่สำคัญที่สุดคือที่อยู่อาศัย อีกอย่างช่วงนี้ฝนก็ตกอีก อยากให้เจ้าของโกดังมารับผิดชอบเรื่องบ้านและอยากให้มาโดยเร็วด้วย ไม่ใช่หายเงียบไปแบบนี้
และอีกอย่างตอนนี้ไม่รู้เจ้าของโรงงานไปไหน วันนั้นก็ได้ยินเพื่อนโทรไปหาเจ้าของโรงงานแจ้งว่าโรงงานระเบิด แต่คำตอบได้กลับมาว่าช่างมันให้มันระเบิด