ภายหลังจากที่พรรคเพื่อไทย แถลงผลการหารือร่วมกับพรรคก้าวไกลถึงแนวทางการในการจัดตั้งรัฐบาลกับ 8 พรรคร่วม โดยระบุใจความโดยรวมว่า "พรรคเพื่อไทยขอถอนตัวจากการร่วมมือ และเดินหน้าจัดตั้งรัฐบาลพรรคร่วมใหม่ โดยเสนอชื่อนายเศรษฐา ทวีสิน ดำรงตำแหน่งนายกฯ โดยพรรคเพื่อไทยและนายเศรษฐา ทวีสิน ยืนยันจะไม่สนับสนุนการแก้ไข ม.112 และการตั้งรัฐบาลใหม่ จะไม่มีพรรคก้าวไกลอยู่ในพรรคร่วม โดยพรรคก้าวไกลจะเป็นฝ่ายค้าน และพรรคเพื่อไทย จะพยายามรวบรวมเสียงในการตั้งรัฐบาลอย่างเหมาะสม"
ขณะเดียวกันวันนี้ รองศาสตราจารย์เจษฎ์ โทณะวณิก นักวิชาการทางกฎหมาย
เผยกับทีมข่าว ช่อง 8 ประเด็น 4 สิงหาคมนี้จะได้นายกหรือไม่ โดยรองศาสตราจารย์เจษฎ์ เปิดเผยว่า เรื่องการเสนอชื่อนายกฯวันที่ 4 สิงหาคมว่า หากจะเป็นคุณเศรษฐา มองว่า 2–3วันนี้ มีการหยิบยกเรื่องคุณเศรษฐา แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทยมาพูดกันเยอะมาก ในเรื่องของธุรกิจส่วนตัว และการนำเสนอของการแก้ไขหรือไม่มีการแก้ไขเรื่องมาตรา 112 ส่วนตัวมองว่า 4 ส.ค. นี้ อาจจะยังไม่จบ
หากไม่ใช่คุณเศรษฐา ลำดับต่อไปเป็นคุณแพรทองธารหรือไม่นั้น ซึ่งก็มีข่าวว่าคุณหญิงพจมานคุณแม่ ไม่อยากให้เป็นนายก และถ้าเกิดว่าจริงแล้ว ทางพรรคเพื่อไทยก็จะเหลือแค่คุณชัยเกษม หรือหากไม่ใช่ก็ต้องไปว่ากันใหม่ว่าจะเป็นใคร
หรืออาจจะเสนอพลเอกประวิตร พรรคพลังประชารัฐ หรือคุณอนุทิน พรรคภูมิใจไทย ซึ่งตอนนี้ก็ต้องจัดแนวทางการร่วมรัฐบาลกันใหม่ เพราะว่าตอนนี้ถือว่าพรรคเพื่อไทยขึ้นมาเป็นแกนนำแล้ว จะไปเชิญพรรคไหนยังไงก็ยังไม่รู้ ซึ่งจากนี้ก็ต้องดูก่อน แต่สำหรับผมมองว่า 4 สิงหาคมนี้ไม่จบ
ส่วนกรณีการฉีกสัญญา MOU ส่วนตัวมองว่า วันนี้ต้องเกิดขึ้นอยู่แล้วเพราะมันควรจะอยู่ในความคาดหมาย มาตั้งแต่แรก และส่วนใหญ่พรรคที่ได้อันดับ 1 อันดับ 2 หรือ พรรคที่เป็นเสรีนิยมอนุรักษ์นิยมเหมือนกันมารวมกัน แต่โดยทั่วไปแล้วพรรคที่อยู่ในลำดับ 2 ลำดับ 3 ที่มีโอกาสจะได้มากกว่าเขาไม่ไปจับกับพรรคลำดับ 1 แน่นอน และมองว่า จริงๆ มันชัดเจนมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้วว่า พรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกลจัดตั้งรัฐบาลร่วมกันลำบาก
ส่วน 2 ตนมองว่า พรรคเพื่อไทยมีแนวโน้มจะจับกับพรรคอื่นได้มากกว่าอยู่แล้ว และ 3 มองว่า การจับแบบนี้แล้วมีความผัดผิดปกติ คือ สว.ต้องมาลงมติและการนี้มองว่าพรรคเพื่อไทยต้องไปพูดคุยกับสว. หรือไปส่งสัญญาณอะไรบางอย่าง
และมองว่าพรรคเพื่อไทยแทนที่จะนั่งอยู่เฉยเฉยปล่อยให้เวลานำพากลับไม่อยู่เฉยไม่ปล่อยให้เป็นไปตามวิถีทางที่จะเกิดขึ้น กลับมีการประกาศแยกทาง ทำให้วันนี้พรรคเพื่อไทยตกที่นั่งลำบากบาก ถ้าอยู่เฉยๆอาจไม่เป็นเช่นนี้ กลายเป็นว่าตอนนี้พรรคเพื่อไทยถูกมองว่า ตระบัดสัตย์ ทรยศประชาชน กลายเป็นว่าพรรคเพื่อไทยตกที่นั่งลำบากทุกอย่างทุกทาง
ส่วนม็อบ รองศาสตราจารย์เจษฎ์ กล่าวว่า ส่วนตัวมองว่า มันมีม็อบมาแน่ แต่ว่าม็อบจะยกระดับไปถึงประมาณไหนเป็นการชุมนุมประท้วงหรือว่าจะเป็นการยกระดับถึงเกิดการก่อความวุ่นวายหรือยกระดับไปถึงการถูกทำลายสิ่งปลูกสร้างหรือเผาบ้านเผาเมืองมีโอกาสยกมาได้หมดจำนวนควรจะมามากหรือมาน้อยเป็นแค่การคาดการณ์แต่ม็อบมาแน่นอน
ส่วนเรื่องความชัดเจนว่าคุณทักษิณจะกลับไทยไหมนั้น รองศาสตราจารย์เจษฎ์ กล่าวว่า จังหวะนี้ส่วนตัวมองว่าน่าจะเป็นจังหวะที่พอลงตัวมากที่สุดที่ทำให้คุณทักษิณกลับไทย เพราะจังหวะมันได้มันจะทำอะไรได้เยอะ เพราะจังหวะนี้มันมีฝุ่นตลบน้ำยังขุ่นอยู่มันสามารถที่จะทำอะไรได้เยอะแล้วแนวทางในการจัดการทั้งในส่วนของราชทัณฑ์ในส่วนของการพูดคุยเรื่องราชทัณฑ์นี้ก็ยังพอขยับขยายได้การพูดเรื่องอภัยโทษอาจจะใกล้ตัวไปสักนิดนึงอาจจะมีปัญหาได้ และการที่คุณทักษิณกลับมาตอนนี้อาจทำให้การจัดตั้งรัฐบาลคลี่คลายพรรคมาเป็นโซ่คล้องหรือเป็นกาวประสานซึ่งจังหวะแบบเนี่ยเป็นจังหวะที่เหมาะที่สุดกลับมาแบบมีคุณค่าไม่ได้กลับมาเพื่อก่อปัญหา แต่การที่คุณทักษิณกลับมาตอนนี้ก็ต้องสะสางปัญหาที่เกิดขึ้นหรือคดีที่เคยมีด้วยต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ทั้งนี้ส่วนตัวมองว่าน่าจะมีแนวโน้มที่คุณทักษิณจะกลับมา
ส่วนท่าทีของ นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า
"ไม่มีอะไรที่พิธา ชัยธวัช และพรรคก้าวไกลต้องเสียใจ ไม่มีอะไรที่ พิธา ชัยธวัช และพรรคก้าวไกล ต้องเสียหน้า ไม่มีอะไรที่ พิธา ชัยธวัช และพรรคก้าวไกลต้องท้อแท้ สิ้นหวัง
และไม่มีอะไรที่พิธา ชัยธวัช และพรรคก้าวไกล ต้องคลางแคลงสงสัยว่าตนคิดผิด
พวกเขาต่างหากที่ต้องเสียใจที่มองสถานการณ์ระยะสั้น
พวกเขาต่างหากที่ต้องเสียหน้า ตอบใครไม่ได้แม้กระทั่งตอบใจตนเอง ต้องแก้ปัญหาในสิ่งที่พูดไปแบบ “วัวพันหลัก” พวกเขาต่างหากที่ต้องท้อแท้ สิ้นหวัง ไม่รู้ว่าในอนาคตจะชนะก้าวไกลได้ด้วยวิธีไหน จะยุบ จะตัดสิทธิ อย่างไร ก็ฆ่า “ความคิด” ไม่ตาย
สังคมเปลี่ยน ความคิดจิตใจคนเปลี่ยน
นักการเมืองและพรรคการเมืองต้องขยับตาม ถ้าไม่นำมวลชน อย่างน้อยก็ต้องเคียงข้างกับความคิดที่เปลี่ยนแปลงไป หนทางพิสูจน์ม้า และเวลาพิสูจน์คน ใครถอยและใครทน พิสูจน์ได้เมื่อภัยมา ดีเสียอีก… ที่การเมืองไทยได้ขีดเส้นใหม่แบ่งใหม่ชัดเจน
ต่อไป ไม่ใช่สงครามสีเสื้อ ไม่ใช่การต่อสู้ระหว่างพรรค แต่คือ การต่อสู้ระหว่าง อดีต vs อนาคต อดีตแบบทศวรรษ 2520 ขยับทีละคืบไปสู่ทศวรรษ 40 กับ อนาคตแบบใหม่ที่ประชาชนผู้ทรงอำนาจสูงสุดของประเทศร่วมกันกำหนดเข็มนาฬิกาเดินหน้า ต่อให้ใครหยุดเข็มนาฬิกาไม่ให้เดิน อย่างไรมันก็จะเดินต่อไป ขอจงยืนตรงอย่างทระนงองอาจ เดินหน้าสู้ต่อภัยทั้งปวง
ต่อสู้ตามแนวทางของตน ระลึกถึงแววตา เสียงร้อง อ้อมกอด น้ำตา ของประชาชนที่ฝากความหวังให้กับพรรคก้าวไกล ตระหนักถึงภาระที่ประชาชนส่งมอบให้พรรคก้าวไกล
นับแต่ 14 พฤษภาคม จนถึงวันนี้ การเมืองไทยได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง สู้ จนกว่า… อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน"