จากกรณีที่ภาพจากกล้องวงจรปิดบันทึกภาพเหตุการณ์ เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม เวลาประมาณ 13 นาฬิกา 9 นาที ได้มีกลุ่มบุคคลรวม 5 คนเดินทางเข้ามาในบ้านพัก หลังร้านก๋วยเตี๋ยวไก่มะระบุพเฟ่ต์ 59 บาท ของ น.ส.วิชญาพร อายุ 48 ปี เจ้าของร้าน และพูดคุยกันเกือบ 1 ชั่วโมง จึงเดินทางกลับโดยนำทองคำหนัก 2 บาท ไปด้วย ผู้เสียหายจึงโพสต์ลงโลกโซเชียล เตือนภัยสังคมในเพจของถูกของดีสมุทรสงครามนั้น
ล่าสุดเมื่อเช้าวันนี้ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ไปที่เกิดเหตุอยู่ริมถนนพระราม 2 กิโลเมตร ที่ 70+300 ม.5 ต.บางขันแตก อ.เมือง จ.สมุทรสงคราม พบ น.ส.วิชญาพร อายุ 48 ปี เจ้าของร้านพาผู้สื่อข่าวไปดูที่เกิดเหตุพร้อมให้ข้อมูลว่า วันเกิดเหตุช่วงกลางวันแสกๆ ขณะที่ตนกำลังนอนพักผ่อนเนื่องจากไม่สบาย อยู่ในห้องนอน จู่ๆสามีเดินเข้ามาเรียก บอกว่ามีคนจากกรุงเทพมหานครมาหา ยังไม่ทันได้ออกไปคนชื่อ ฟลุ๊ก(อ้างว่าเป๋บางบอน) ยืนอยู่หน้าประตู ตนจึงออกมานั่งคุยกันในบ้าน โดยมีชายสวมเสื้อสีแดง อ้างมาทวงเงินที่กู้มาร้อยละ 30 ตนก็งงเพราะว่าตนไม่รู้จักคนเสื้อสีแดง และไม่รู้จักว่าเป็นใคร เคยกู้แต่ฟลุ๊กเมื่อกว่า 2 ปีมาแล้วและหนี้ก็ใช้ไปหมดตั้งแต่อยู่กรุงเทพแล้ว และฟลุ๊กก็ยังไปประกาศว่ากินดอกเบี้ยตนมาเยอะแล้วเป็นแสนกว่าแล้ว เงิน 4 หมื่น ได้คืนไป 170000 – 180000 แล้ว คิดดอกเบี้ย 2 เด้ง 3 เด้ง
ในช่วงชุลมุนนั้นผู้ชายที่ใส่เสื้อสีแดงก็โวยวายอยู่หน้าบ้านว่า “จะไปแจ้งตำรวจก็ได้ ไม่กลัวตำรวจ มาวันนี้ต้องได้ไม่มีเงิน มีทองก็ถอดทองออกมาเลย” และพยายามบีบให้สามีของตนถอดทองออกจากคอ ตนและสามีกลัวมาก เขาเข้ามาล้อมตัวสามี จึงจำเป็นต้องถอดสร้อยคอทองคำหนัก 2 บาท ให้ไปเพราะความกลัว และ พอได้สร้อยทองแล้ว ก็ลุกลี้ลุกลนออกจากบ้านไปเลย ตนอยากให้ตำรวจติดตามคนร้ายมาเข้าคุกให้ได้ เพราะเป็นภัยสังคม อย่าปล่อยให้ลอยนวล บุกเข้ามาก่อเหตุในบ้านกลางวันแสกๆ อย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย อีกทั้งฟลุ๊กยังอ้างว่า ฉายา เป๋บางบอน เป็นขาใหญ่อยู่บางบอน ติดคุกมาเยอะแล้วไม่กลัวหรอกตำรวจ ท้าให้ไปแจ้งตำรวจด้วย
ทีมข่าวช่องแปดเดินทางไปเจอกับ นายสุเมธ หรือฟลุ๊ก อายุ40ปี ผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็น”เป๋ บางบอน” โดยเจ้าตัวบอกกับทีมข่าวว่า ขาซ้ายเคยประสบอุบัติเหตุและมีการดามเหล็ก ลักษณะเดินไม่ปกติ จึงถูกตั้งฉายา และเรียกขึ้นเองจากคนอื่น แต่ตัวเองไม่เคยใช้ฉายานี้ และไม่เคยเรียกตัวเองว่าเป๋บางบอน
นายฟลุ๊ก หรือ นายสุมธ เปิดใจว่า ไม่อยากให้เรียกหรือใช้ชื่อนี้ (เป๋ บางบอน) เพราะไม่ใช่ฉายาหรือชื่อที่ตนเองใช้ แต่ถูกตั้งขึ้นเพื่อที่จะสร้างกระแสสังคมหรือเอาไปลงโซเชียล โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น วันที่ 1 ส.ค ตนเองเดินทางไปพร้อมกับเจ้าหนี้ของนางสาววิชญาพร ซึ่งเจ้าหนี้รายดังกล่าวเป็นเจ้าหนี้ ที่นางสาววิชญาพร เป็นหนี้ประมาณ 500,000 บาท และพยามติดตามตัวมานาน จนกระทั่งรู้ว่านางสาววิชญาพร พร้อมกับสามีไปเปิดขายก๋วยเตี๋ยวที่ร้านดังกล่าว จึงได้แจ้งพิกัดและชวนตนเองไปทวงเงิน โดยนี่ของตนเองจากเดิมอยู่ที่ 80,000 บาท และค้างจ่ายอีก 40,000 บาท แต่นี่หายไปเกือบ2ปี หลังจากที่รู้ว่าเจ้าตัวอยู่ที่ร้านดังกล่าวจึงพากันไป
แต่การที่ภาพกล้องวงจรปิดจับภาพ 5คน ซึ่งผู้ชายเสื้อสีแดงคือเพื่อนที่กำลังจะไปทำบุญด้วยกัน และผู้หญิงในภาพกล้องวงจรปิดก็คือภรรยาของตนเอง กับภรรยาของผู้ชายเสื้อสีแดง ดังนั้นจึงไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ เพียงแค่นั่งรถจะไปทำบุญด้วยกันแล้วไปผ่านร้านก๋วยเตี๋ยว จึงพากันลงไปทวงหนี้ แต่เหตุการณ์ในวันนั้นไม่ได้มีการใช้ความรุนแรง ไม่ได้มีการใช้คำพูดข่มขู่ ซึ่งก็เข้าไปพูดคุยกันตามปกติ
จังหวัดที่ตนเองกับเจ้าหนี้อีกคนไปถึง ก็ได้มีการทวงถามเงินที่ติดนี่และหนีหายไปเกือบ2ปี แต่เข้าใจว่าตัวของนางสาววิชญาพร กับสามี อัพอายลูกน้องที่อยู่ในร้าน จึงชักชวนให้ตนเองและเจ้าหนี้อีกคนเข้าไปคุยส่วนตัวในห้อง โดยการพูดคุยนั้น ก็พยามทวงถามเกี่ยวกับยอดหนี้ที่ติดค้างอยู่ เพราะเห็นว่าตัวของสามีนางสาววิชญาพร มีการใส่สร้อยคอทองคำ ใส่สร้อยแขนทอง ใส่แหวนทอง ประกอบกับมีการใช้ชีวิตแบบอู่ฟู่ จึงเชื่อว่าแค่ยอดหนี้แค่นี้คงจ่ายได้ แต่คู่ผัวเมียอ้างว่าไม่มีเงินจ่าย จึงได้ตกลงกันว่างั้นเอาทองไปขายแล้วเอาเงินมาใช้หนี้ ตัวของสามีนางสาววิชญาพรยอม ปลดสร้อยคอยื่นให้กับมือ แต่สร้อยคอดังกล่าวมีจี้พระ ซึ่งเป็นพระเลี่ยมทอง ตนเองก็ไม่ได้เอาไปเอาเพียงแค่สร้อยคอทองคำ2บาท พร้อมกับมีการส่งคืนพระเครื่องให้ไป แล้วนำทองไปขายในวันดังกล่าวได้เงินประมาณ 58,300 บาท โดยตนเองหักนี่ของตนเอง 44,000 บาท เงินจำนวนที่เหลือเอาให้กับเจ้าหนี้อีกคนที่ไปทวงหนี้ด้วยกัน แต่ก็ยังได้ไม่ครบเพราะเนื่องจากยอดหนี้ของเจ้าหนี้รายดังกล่าวนั้นสูงถึง 500,000 บาท
หลังจากทุกอย่างจบแล้ว ก็พากันแยกย้าย โดยเจ้าหนี้คนดังกล่าวก็เดินทางกลับบ้าน ส่วนตนเองก็ไปทำบุญต่อกับเพื่อนเสื้อสีแดง พร้อมกับภรรยา และกลุ่มคนทั้งหมดที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นโจรในกล้อง โดยเจตนาตนเองไม่ได้ตั้งใจที่จะพาคุณไปเยอะเพื่อที่จะกดดัน หากต้องการที่จะพาไปกดดันหรือนำไปข่มขู่ คงพาพวกกลุ่มชายฉกรรจ์ไปน่าจะดีกว่า , และหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวก็เข้าใจว่ามีการเคลียร์กันจบแล้ว แต่ก็ไม่คิดว่ามีการไปติดต่อกับเพจ แล้วมีการเอาภาพใบหน้าของตนเองและเพื่อนของตนเอง ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ไปโพสต์ แล้วยังมีการกล่าวหาว่าเป็นกลุ่มโจรที่มาตบทรัพย์ ดังนั้นหากตัวของนางสาววิชญาพร มีการติดต่อกับเพจแล้วมีการลบ รวมทั้งมาขอโทษ ตนเองก็จะยอมให้อภัย แต่ถ้าหากยังกล้าที่จะเอาเรื่องราวที่ไม่เป็นจริงไปโพสต์ต่อ ตนเองก็จะดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป