ยังเป็นประเด็นร้อน โดยเฉพาะการเมือง เมื่อวันนี้ มีการประกาศเลื่อนในหลายเรื่อง ทั้ง ศาลรัฐธรรมเลื่อนพิจารณาคำร้องผู้ตรวจการฯ ปมเสนอชื่อ "พิธา" โหวตนายกฯ รอบ 2 ขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ , ประธานรัฐสภา สั่งเลื่อนโหวตเลือกนายกฯครั้งที่3 ออกไปก่อน เนื่องจากรอ"ศาล รธน." วินิจฉัยคำร้องผู้ตรวจฯ และ พรรคเพื่อไทยเลื่อนการแถลงข่าวพรรคร่วมรัฐบาลออกไปก่อน
หลังจากที่กระแสพรรคเพื่อไทยแยกกับพรรคก้าวไกล เพื่อที่จะเตรียมจัดตั้งรัฐบาลกับชั่วใหม่ นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เปิดเผยว่า ถึงที่สุดการเลือกตั้งต้องมีพรรคลุงแน่ๆ ไม่มีมันก็ไปต่อไม่ได้ ส่วนเรื่องของคุณทักษิณ ชินวัตร นายจตุพร ยืนยันว่า คุณทักษิณยังไงก็ไม่กลับ เพราะเคยประกาศเอาไว้ว่าวันที่ 10 ส.ค. เขาจะกลับ ดังนั้นคิดว่าจนถึงวันนี้ทักษิณ ไม่พร้อมจะเดินทางเข้าคุก เพราะนายทักษิณมีความเชื่อว่าติดคุกวันเดียวก็เหมือนถูกฆ่าตายแล้ว โดยนายทักษิณพยายามจะบอกแบบนี้มาแล้วไม่ต่ำกว่า 20 ครั้ง
ส่วนการโหวตนายกฯ 16 สิงหาคม ถ้าพิธาสามารถกลับมาได้ คือต้องมองศาล นายจตุพร บอกว่า โลกแห่งความเป็นจริงเปลี่ยนแปลงไปแล้วผมเชื่อว่าปรากฏการณ์นายพิธา ทำให้เราเห็นธาตุแท้นักการเมืองมากขึ้น เชื่อว่านับจากนี้มันจะเริ่มต้นจุดวิกฤตโลกใหม่ ที่เพื่อไทยคุณประกาศตั้งแต่แยก แต่ก้าวไกลปัญหาคือการดีเลย์ของศาลรัฐธรรมนูญ จะรับหรือไม่รับ เรื่องของผู้ตรวจการเนี่ยวันที่ 16 สิงหาคม เป็นสาเหตุให้อาจารย์วันนอร์ เลื่อนโหวตนายกฯ ทำให้เพื่อไทยไม่ต้องแถลงในวันนี้ เพราะว่าถ้าแถลงจะเกิดแรงกระเพื่อมหนักอีก
ส่วนประชาชน ที่เลือกพรรคเพื่อไทยด้วยสามัญสำนึกรักประชาธิปไตย สิ่งดีงามด้วยจิตใจอิสระ เขาต้องการให้บ้านเมืองดีขึ้น เขาไม่อาจยอมรับการกระทำของพรรคเพื่อไทยเห็นได้ตั้งแต่เมื่อวาน
คำถามสุดท้ายเพื่อไทยจะแถลงข่าวตั้งรัฐบาลได้เมื่อไหร่ คุณจตุพร บอกว่า ถ้าไม่รวมไทยสร้างชาติกับพลังประชารัฐการตั้งรัฐบาลก็เป็นศูนย์ เพราะไม่มีสว.หนุนให้
"ผมไม่เชื่อว่าท่านจะกลับมาตั้งแต่ต้น เพราะฉะนั้นวันที่ 10 สิงหาคม เวลา 10.30 น ตามการนัดหมายว่า ท่านจะลงเครื่องที่ดอนเมืองนั้น ผมไม่เชื่อว่าท่านจะกลับ เพราะว่าการตัดสินใจออกนอกประเทศด้วยมีวัตถุประสงค์ไม่ต้องการจะถูกจองจำแม้แต่เพียงวันเดียว ดังนั้นการกลับมาของท่านนายกทักษิณนั้น ไม่มีช่องทางอื่น เมื่อคดีถึงที่สุด 3 คดีเนี่ย มีโทษจำคุกรวมกัน 10 ปีจะต้องเข้าเรือนจำสถานเดียว การขอพระราชทานอภัยโทษเฉพาะราย โอกาสน้อยมากที่ผ่านมาโดยประสบการณ์ที่เข้าอยู่เรือนจำ 5 ครั้ง แทบจะไม่เคยเห็นโทษในคดีทุจริตจะได้รับพระราชทานอภัยโทษเลย มิหนำซ้ำยังไม่ทราบว่า ในคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่เป็นที่ยุติแล้ว สั่งนักโทษอย่างไร เช่นว่าให้นับโทษต่อ ท่านก็ต้องติดตั้งแต่ว่าคดีแรก 2 ปีให้แล้วเสร็จ จึงจะมาคดีที่ 2 จำนวน 3 ปีแล้ว จึงจะไปคดีที่ 3 จำนวน 5 ปี ซึ่งถ้าติดคุกในระนาบนี้ แม้ว่าจะมีพระราชทานอภัยโทษที่เป็นพระราชกฤษฎีกาที่ได้กับทุกคนนั้น ก็ยังจะต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 3 ปี" นายจตุพร ระบุ
ขณะที่นาย เฉลา พวงมาลัย 1 ใน 13 สมาชิกวุฒิสภา ที่เคยโหวตเห็นชอบให้ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงกรณีการโหวตแคนดิเดต นายกรัฐมนตรีที่มาจากพรรคเพื่อไทยว่า ตนเองยังมีจุดยืนเช่นเดิมคือเมื่อพรรคการเมืองใดที่ประชาชนเลือกมา และสามารถที่จะรวบรวมเสียงข้างมากจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในสภาได้ตนเองก็จะโหวตเห็นชอบให้เป็นนายกรัฐมนตรี เช่นกันหากพรรคเพื่อไทยสามารถรวบรวมคะแนนเสียงและจัดตั้งรัฐบาลได้ตนเองก็พร้อมจะโหวตเห็นชอบแคนดิเดตนายกฯรัฐมนตรี ของพรรคเพื่อไทยให้เป็นนายกรัฐมนตรี เช่นเดียวกับที่เคยโหวตให้นายพิธาไปก่อนหน้านี้แล้ว เพราะเป็นการกระทำตามระบอบประชาธิปไตยและเสียงของประชาชนได้เลือกตั้งมา
ส่วนหากพรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาล และรวบรวมเสียงโดยมีพรรค 2 ลุง คือพลังประชารัฐ และ พรรครวมไทยสร้างชาติร่วมอยู่ด้วยนั้น ตนเองก็ยังจะเห็นชอบโหวตให้้เพราะถือว่าเป็นไปตาม เจตนารมย์ของระบบประชาธิปไตย ที่แกนนำรัฐบาลสามารถรวบรวมเสียงข้างมากได้ แม้แต่หากเป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากพรรคอื่นแต่หากรวบรวมเสียงข้างมากได้เช่นกันตนเองก็ยังคงมีจุดยืนที่จะโหวตให้เหมือนกัน ยกเว้นแต่ถ้าหากมีการจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยตนเองยืนยันว่าจะไม่ลงมติเห็นชอบคนที่จะเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีให้อย่างแน่นอนเพราะเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องตามกระบวนการของประชาธิปไตย
ส่วนเรื่องการโหวตนายกรัฐมนตรีที่มีการเลื่อนออกไปหลายครั้งตนเองมองว่าเป็นสิ่งที่จะทำให้เกิดปัญหากับเศรษฐกิจบ้านเมืองหากยังไม่สามารถที่จัดตั้งรัฐบาลมาบริหารบ้านเมืองได้ เพราะพี่น้องประชาชนยังรอให้รัฐบาลใหม่เข้าไปแก้ปัญหาอยู่จำนวนมาก จึงอยากให้การโหวตนายกรัฐมนตรีให้ได้เร็วที่สุด เผื่อจะได้จัดตั้งรัฐบาลมาบริหารบ้านเมืองต่อไป
นายยุทธพร อิสรชัย อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช กล่าวถึง สิ่งที่พรรคเพื่อไทยต้องเผชิญหลังสลัดมือก้าวไกล ว่า ตอนนี้พรรคเพื่อไทย อยู่ในภาวะล้มละลายในความน่าเชื่อถือ สิ่งที่จะฟื้นฟูได้คือการตัดสินใจทางการเมืองต่างๆ โดยเฉพาะการจัดตั้งรัฐบาลต้องไม่มี 2 ลุง แต่ก็ต้องเผชิญกับความท้าทายเพราะรัฐธรรมนูญ เปิดช่องให้ สว.โหวตนายกฯ ดังนั้น ถ้าไม่มี 2 ลุงจะได้เสียงสนับสนุนจาก สว.หรือไม่ นั้นคือสิ่งที่พรรคเพื่อไทยต้องชั่งใจ
"ตอนนี้พรรคเพื่อไทยเหมือนคนที่อยู่ในภาวะ ล้มละลายทางความน่าเชื่อถือ ดังนั้นการจะฟื้นฟูความน่าเชื่อถือ มันมีคำตอบเดียวเท่านั้น คือ การตัดสินใจของพรรคเพื่อไทยเอง ว่าจะทำให้พรรคตัวเองมีอนาคตทางการเมืองอย่างไร รวมไปถึงการตรวจเลือกนายกรัฐมนตรีในวันพรุ่งนี้ด้วยเช่นกัน" อ.ยุทธพร กล่าว
อีก 1 เรื่องคือเรื่องของคะแนนเสียงจากจากการเลือกตั้ง นั่นคือสิ่งที่ต้องตัดสินใจทางการเมือง อย่า ว่าพรรคเพื่อไทยไม่สามารถผูกขาดบัตรเลือกตั้งได้เหมือนเดิมอีกต่อไป ตั้งแต่ พรรคไทยรักไทย พลังประชาชน มาสู่พรรคเพื่อไทยครั้งนี้เป็นครั้งแรก ที่ไม่สามารถชนะเลือกตั้งได้เป็นอันดับ 1 แสดงให้เห็นว่าพรรคเพื่อไทยไม่สามารถผูกขาดทางการเมืองได้เหมือนในอดีต ทำให้เห็นว่าการตัดสินใจทำการเมืองมีต้นทุนที่ต้องจ่าย การเลือกตั้งครั้งหน้าจึงเป็นโจทย์ใหญ่ของพรรคเพื่อไทย
"ไม่ถึงขั้นที่จะสูญพันธุ์หรอก เพราะพรรคเพื่อไทย เขาก็มีฐานที่สำคัญในทางการเมืองไม่น้อย โดยเฉพาะฐานของตัวบุคคลก็ยังคงมีอยู่ แต่จำนวนสส.และขนาดของพรรคจะเล็กลงได้ ถ้าพรรคไม่สามารถที่จะสร้างความชอบธรรมทางการเมืองหลังจากนี้ได้ดีพอ" อ.ยุทธพร กล่าว
เมื่อถามว่า หากมีทั้ง 2 ลงเข้ามาอยู่ในสมการของพรรคเพื่อไทยจริงๆ จะเกิดความวุ่นวายจนบริหารประเทศไม่ได้หรือไม่ นายยุทธพร กล่าวว่า ไม่ถึงขั้นจะบริหารประเทศไม่ได้แต่ด้วยความที่พรรคเพื่อไทยตกอยู่ในสภาวะ ล้มละลายทางความน่าเชื่อถือ หากมีพรรค 2 ลุงเข้าไปด้วย ก็จะทำให้โอกาสที่จะฟื้นฟูเรื่องนี้น้อยลงไปด้วย และอาจจะเกิดปัญหาคนลงถนนมากขึ้น ที่เป็นอุปสรรคต่อการทำงานของพรรคเพื่อไทย แต่คงไม่ถึงขั้นประท้วงจนรัฐบาลไปต่อไม่ได้
อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวคิดว่าสมการที่จะออกมาน่าจะไม่มี 2 ลุง จะไหลมาในภายหลังหรือไม่เป็นเรื่องที่ต้องติดตามต่อ เพราะการปรับโครงสร้างของพรรคพลังประชารัฐ มันก็เป็นสัญญาณที่ชี้ให้เห็นว่ามันมีโอกาส ที่พรรคพลังประชารัฐ จะเข้ามาร่วม แต่จะร่วมตอนแรกหรือตอนหลังเท่านั้นเอง