วันนี้ (4 ส.ค. 66) นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนภายหลังเดินทางมายื่นเรื่องต่ออธิบดีกรมสรรพากร เพื่อให้ตรวจสอบนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย เกี่ยวกับการทำนิติกรรมอำพรางการซื้อที่ดินย่านสารสิน เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.แสนสิริ
โดยนายชูวิทย์ ได้ให้สัมภาษณ์ ถึงอาการป่วยโรคมะเร็งว่า ตนขอใช้ชีวิตในช่วงสุดท้ายต่างจากคนอื่น เพราะกินเหล้า สูบบุหรี่ และการที่ออกมาแฉ ออกมาพูด เนื่องจากคนอื่นไม่กล้า ซึ่งยืนยันว่าทำด้วยความเต็มใจและทำทุกอย่างด้วยความสุข ซึ่งแน่นอนว่าลูกเมียและเพื่อนฝูงอยากให้อยู่แบบสงบ ไปพักผ่อน ซึ่งหมอก็ได้เตือนแล้ว พฤติกรรมการกินเหล้า สูบบุหรี่และทํางานหนักนั้นอย่าทํา ตนจึงถามหมอกลับไปว่าหากเลิกทําแล้วจะหายหรือไม่ แน่นอนหมอตอบว่า "ไม่" ดังนั้นตนจึงขอเลือกทําดีกว่าเพราะทําแล้วมีความสุข จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจทีหลัง
นายชูวิทย์ กล่าวต่ออีกว่า ตนเองไม่เลือกวิถีชีวิตที่ต้องกินตามหมอสั่ง เพราะกินแล้วก็ไม่หาย ซึ่งเหมือนว่าถ้ามันไม่หายก็ซ้ำไปเลยให้มีความสุข ในวันนี้เราต้องมีความสุข ฉะนั้นตนจึงอยากจะบอกกับทุกคนว่า “ไวน์ขวดละ 3 แสน มึงรีบเปิดกินเลยนะ กินซะตั้งแต่วันนี้ เพราะกูไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้จะได้กินหรือเปล่า”นั้น คือการนิยามการใช้ชีวิตของตนเอง บางคนก็อาจจะไม่ได้ใช้ ดังนั้นชีวิตใครชีวิตมัน เมื่อตนเลือกวิถีทางนี้แล้ว มันเป็นวิถีทาง ปลายทางของตน ซึ่งตนเป็นคนใช้ชีวิตแบบนี้ “เลือกเอาความสุขในวาระสุดท้าย”
ทั้งนี้ นายชูวิทย์ กล่าวทิ้งท้ายว่า หมอบอกกับผมว่ามีเวลาเหลือ 8 เดือน เพราะฉะนั้นคุณต้องดีใจนะ คุณอาจจะคิดถึงผมในวันที่ผมไม่อยู่ คุณอาจจะรู้สึกว่ามันขาดอะไรไป แต่วันรุ่งขึ้นทุกอย่างก็เหมือนเดิม มันไม่มีอะไรเปลี่ยน นี้ยังดีนะที่ผมมาคุยกับคุณ ดีกว่าบางคนด้วยซ้ำที่เปิดมาอัมพาต จำอะไรไม่ได้ ผมยังมีโอกาสได้ร่ำลา อย่าไปคิดมาก เกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดา ผมไม่กลัว คุณถึงกลัวผมไง เพราะหวังว่าจะใหญ่จะโต จะได้ตำแหน่ง แต่ผมเห็นว่าไม่เหมาะสม ก็เลยนำเรื่องนี้มาพูดให้พวกคุณ และให้สังคมได้ฟัง ให้ได้พิจารณา
โดยนายชูวิทย์ ยังกล่าวอีกว่า ผมใช้ชีวิตช่วงสุดท้ายแตกต่างจากคนอื่น ผมดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ออกมาแฉ คนอื่นไม่กล้า ครอบครัวก็อยากให้พักผ่อน ผมเป็นคนใช้ชีวิตเหมือนวันสุดท้าย อะไรที่มีความสุขผมอยากทำ ทำให้ประเทศ สังคม ผมไม่ต้องการอะไรอีกแล้วในชีวิต สิ่งผมเป็นไม่ได้เกี่ยวอะไรกับสิ่งที่ผมทำเลย ผมเลือกวิถีชีวิตแบบนี้ ผมทำเพราะผมมีความสุข
"โดยกำหนดการของผม หมอบอกว่าไม่เกิน 8 เดือน เพราะฉนั้นคุณต้องดีใจ คุณอาจจะคิดถึงผม ในวันที่ผมไม่อยู่ แต่ซักวันหนึ่งมันก็เหมือนเดิม ผมไปผมไปในที่ที่สวยงาม และมีความสุข ลูกหลานไม่ต้องจัดงานให้สิ้นเปลือง เพราะผมมอบร่างกาย นี่ยังดีที่มีโอกาสมาคุยกัน มันดีกว่าคนบางคนที่นอนติดเตียง ยังไม่โอกาสได้ร่ำลากัน เกิดแก่เจ็บตายมันเรื่องธรรมดา" นายชูวิทย์ ระบุ
ขณะเดียวกัน นายชูวิทย์ เดินทางมาที่กรมสรรพากร เพื่อยื่นหนังสือขอให้ตรวจสอบการเสียภาษีอากรกรณีการซื้อขายที่ดินระหว่าง บริษัท แสนสิริ จํากัด (มหาชน) ผู้ซื้อ และผู้ขาย
พฤติการซื้อขายที่ดินที่ค่อยข้างประหลาด ไปซื้อฉโนดที่ดิน 1 แปลง แต่มีเจ้าของ 12 คน เป็นพี่น้องกัน ใน 12 คนนี้ขายราคาต่างกัน มันแปลกไหม ใครจะยอมขายในราคาถูกกว่าละ บางรายขายตาราวาละ 4 ล้าน บางคนขาย 3.8 ล้านบาท และ 3.6 ล้านบาท แล้วทำไมไม่ขาย 4 ล้าน ไม่มีมีหลอกที่จะมาขายราคาต่างกัน ไม่ใช่ว่าของใครติดถนนราคาสูงกว่ากัน ไม่ใช่เลย จะมาอ้างว่าคนขายต้องการขายเท่านี้เท่านั้น นี่ไงข้ออ้างนายทุน ส่วนอีดเรื่องคือการชำระ เช่นรายแรก ได้เงิน 620 ล้าน ชำระ 2 แบบ ทั้งเงินสด และเช็ค เงินสด 220 ล้าน เช็ค 400 ล้าน น่าสงสัยว่าเอาเงินสดที่ไหนจ่าย แล้วเงินสดที่จ่ายสังเกตจะมีเศษ มัดจำที่ไหนตัวเลขเงินมีเศษหลักร้อยด้วย ซึ่งเขาเรียกว่าเงินบวม ไม่ใช่เงินมัดจำ เงินบวมคือเงินที่เข้ากระเป๋าใครบางคน เพราะถ้าเป็นเงินบริษัทหลักทรัพย์ จะต้องจ่ายเป็นเช็คเท่านั้น 2 พันบาท ยังเขียนเช็คเลย
นอกจากนี้การโอนที่กินก็แปลก โอนวันละคน 12 วัน 12 คน จะไม่เข้าวิธีการหลีกเลี่ยงภาษี วิธีการแบบนี้ใครดูใครก็รู้ แล้วนายเศรษฐา เป็นกรรมการผู้จัดการ เป็นคนที่ซื้อที่ดินมาเยอะแยะมากมาย จะไม่รู้ได้อย่างไร โอนไปว่าเป็นหน้าที่ของผู้ขาย ที่สำคัญ คือผู้ขาย เป็นผู้ขอเปลี่ยนวิธีการโอนเอง ซึ่งเป็นวิธีการที่ผิด คุณยอมร่วมกระทำการได้อย่างไร นี่คือคำถามง่ายๆ