เศรษฐาหนีออกด้านหลังพรรคเพื่อไทย
มีรายงานว่า บรรดารถแกนนำทั้งหมด ยังไม่สามารถออกไปจากอาคารได้ มีเพียงรถของนายอนุทิน หัวหน้าพรรค ภท. เพียงคันเดียวเท่านั้น ที่สามารถออกไปได้ทัน ก่อนที่กลุ่มมวลชนจะมารวมกลุ่มปิดบริเวณทางออกของที่ทำการพรรคเพื่อไทย บริเวณป้อมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย
อย่างไรก็ตาม ต่อมาเวลา 18.40 น. ม็อบสลายตัวกลับ ขณะที่แกนนำพรรคเพื่อไทย ทั้งนายเศรษฐา และนางสาวแพทองธารได้หลบออกจากด้านหลังที่ทำการพรรค
เศรษฐา ทวีตขอใช้สิทธิตั้งทนายฟ้องชูวิทย์ ปมแฉที่ดินแสนสิริ
นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย โพสต์ทวีตเตอร์ ระบุว่า จากกรณีคุณชูวิทย์เปิดประเด็นธุรกรรมซื้อขายที่ดินแปลงหนึ่ง ของบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) และพาดพิงเกี่ยวกับเรื่องจริยธรรมของผม ขอยืนยันว่าแสนสิริขับเคลื่อนภายใต้หลักธรรมาภิบาล การปฏิบัติหน้าที่ของผมในขณะนั้น เป็นไปตามกรอบกฎหมาย เพื่อความเข้มแข็งขององค์กร ผู้ถือหุ้น ด้วยจิตสำนึกรับผิดชอบต่อสังคม
กรณีนี้เป็นการกล่าวหาให้เกิดความเสียหาย ผมจึงขอใช้สิทธิ์ตามกฎหมาย ให้ทนายความฟ้องร้องดำเนินคดีกับคุณชูวิทย์เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ตามข้อเท็จจริงและพยานหลักฐาน”
ทนายเศรษฐา ลุยฟ้องชูวิทย์
นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความที่ได้รับมอบหมายจากนายเซรษฐา ทวีสิน แคนดิเดทนายกรัฐมนตรี นำหลักฐาน มายังศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก เพื่อฟ้อง นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา จากกรณีที่มีการแถลงข่าวกล่างถึงนายเศรษฐา สมัยเป็นผู้บริหาร บริษัท แสนสิริ จำกัด มหาชน มีพฤติการณ์หลบเลี่ยงภาษี จำนวนกว่า 500 ล้านบาท
นายวิญญัติ บอกว่า วันนี้ที่ตนเองมา ไม่ได้มีเจตนากลั่นแกล้งคนป่วย หรือซ้ำเติมคนที่บอกตัวเองว่าอยู่ได้ไม่นาย หรือ ใกล้ตาย ในฐานะเพื่อนมนุษย์ของให้กำลังใจ ให้ต่อสู้กับโรคที่เป็นอยู่ แต่แม้จะเป็นคนป่วย หรือคนธรรมดา แต่ถ้ามีการกระทำความผิดกฎหมาย ทำให้นายเศรษฐา ฐานะผู้ได้รับสียหายก็ต้องปกป้องสิทตัวเอง แม้ว่านายชูวิทย์ อาจบอกว่าเป็นการตรวจสอบใช้สิทธ์ประชาชนตามรัฐธรมนูญ แต่อย่าลืมต้องอยู่ในกรอบกฎหมาย การแถลงข่าววันนั้น มีการใช้สื่อประกอบ มีบุคคลที่ 3 จำนวนมาก มีคนถูกพาดพิงหลายคน และนายชูวิทย์ ยืนยันว่า นายเศรษฐา รับรู้ สมรู้ ร่วมวางแผน จึงต้องฟ้องวันนี้ ในสาระสำคัญว่า นายชูวิทย์ กล่าวข้อเท็จจริงไม่ครบถ้วน จงใจปกปิด และให้คนเข้าใจผิดหรือไม่ เป็นข้อกล่าวหาที่นำมาฟ้อง โดยนายชูวิทย์ เจตนาใส่ความ นายเศรษฐา ชัดเจน
ข้อเท็จจริงที่ตนทราบ และแสนสิริ เคยชี้แจงว่า การได้ที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์รวม ไม่ใช่การได้ที่ดินมาพร้อมกันอย่างที่ นายชูวิทย์ แถลง แต่เป็นการได้มาโดยไม่พร้อมกัน ตามคำสั่งกรมสรรพากร ป.100/2543 พูดถึงเรื่องบุคคลที่ได้กรรมสิทธิ์มาโดยการขาย ต้องเสียภาษีในหน่วยภาษีที่แบบรายบุคคล ไม่ใช่นิติบุคคล โดยกรณีบริษัทแสนสิริ เข้าข้อยกเว้น คือกรรมสิทธ์รวมของผู้ถือหุ้น ได้มาไม่พร้อมกัน ต้องดูหน่วยเสียภาษีอย่างบุคคลธรรมดา แยกชำระกันแต่ละคน โครงสร้างนี้ คนมีหน้าที่เสียภาษีคือผู้ขาย ตกลงตามเอกเทศน์สัญญา คนซื้อ คนขาย ตกลงกันยังไงก็ได้ โดยการโอนต้องโอนต่างวัน เสียภาษีในฐานะบุคคลธรรมดา ไม่ใช่นิติบุคคลตามที่กล่าวอ้าง
ส่วนที่ตั้งข้อสังเกตว่าเป็นเส้นบางๆ ระหว่างจริยธรรม หรือวางแผนมา เรื่องนี้เป็นการวางแผนภาษี ไม่ใช่สิ่งผิดกฎหมาย ไม่ใช่การสมรู้ร่วมคิด ให้รัฐเสียผลประโยชน์ เพราะรัฐดำเนินการเอง พวกนี้เป็นข้องดเว้นหมด เป็นข้อเท็จจริงที่อยากนำเรียน ที่ นายชูวิทย์ บอกคือจริยธรรม ฝ่าฝืนร้ายแรง เรื่องนี้เป็นนามธรรม เอาอะไรมาบอกว่าฝ่าฝืน
“พร้อมพงศ์” โต้กลับ “ชูวิทย์” บิดเบือนข้อเท็จจริง หวังเปิดเกมส์ดิสเครดิต “เศรษฐา” ก่อนโชว์รูป “ป๋าชู” เคยเข้าเจรจาขายที่ดินให้แสนสิริแต่ไม่สำเร็จ
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ ผู้ช่วยหาเสียงพรรคเพื่อไทย ในฐานะคณะทำงานด้านกฎหมายที่ได้รับมอบอำนาจจากนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองดัง ระบุว่าที่นายเศรษฐามอบอำนาจให้ทนายความฟ้องดำเนินคดีกับนายชูวิทย์เป็นการฟ้องปิดปาก ว่า ตนขอชี้แจงว่าเรื่องนี้เป็นการใช้สิทธิตามกฎหมาย ไม่มีใครไปปิดปากคนอย่างนายชูวิทย์ได้ หากนายชูวิทย์ตรวจสอบนายเศรษฐาอย่างบริสุทธิ์ใจ ตนขอตั้งข้อสังเกตว่า นายชูวิทย์มีข้อมูลเรื่องนี้มานานแล้วแต่เหตุใดจึงไม่ตรวจสอบตั้งแต่ได้รับข้อมูลมา หรือก่อนที่นายเศรษฐาจะถูกเสนอชื่อเป็นแคนดิเดตนายกฯของพรรคเพื่อไทย ตนเองในฐานะเป็นนักการเมือง และเคยตรวจสอบในคดีสำคัญหากไม่มีวาระซ่อนเร้นเราต้องตรวจสอบอย่างนี้ เพื่อให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
สำหรับประเด็นที่นายชูวิทย์แถลงข่าวเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม กล่าวหานายเศรษฐาว่าทำนิติกรรมอำพราง ไม่ซื่อสัตย์สุจริต รู้เห็นเป็นใจกับบริษัทที่ขายที่ดินให้กับบริษัทแสนสิริ ทำให้รัฐเสียหายกว่า 500 ล้านบาท เรื่องนี้ ตนขอชี้แจงข้อเท็จจริงว่า ไม่ใช่เรื่องซับซ้อนอะไรเลย เป็นการจับแพะชนแกะ พูดความจริงครึ่งเดียวของนายชูวิทย์ คือ ผู้ขายได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยการโอนแบ่งคืนให้ผู้ถือหุ้นคนละวันกัน จึงไม่ถือว่าบุคคลดังกล่าวได้กรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพร้อมกัน ในทางกฎหมายอนุญาตให้ทำได้ ต่อมาเมื่อมีการขายให้บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ก็เป็นไปตามกฎหมาย เป็นไปตามระเบียบของกรมที่ดิน และระเบียบของกรมสรรพากร ซึ่งถ้าไม่ถูกระเบียบกรมที่ดินก็ไม่สามารถให้ผู้ขายโอนให้ได้ และกรมสรรพากรคงฟ้องร้องผู้ขายไปแล้ว ไม่ปล่อยให้เนินนานขนาดนี้ ใครก็รู้ว่ากรมที่ดิน และกรมสรรพากรล้วนมีระเบียบที่เคร่งครัด ไม่ถึงมือนายชูวิทย์หรอก อย่างไรก็ตาม การดำเนินการทั้งหมดเป็นไปตามกฎหมายมาตรา 56 แห่งประมวลรัษฎากร ประกอบคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ป. 100/2543 ลงวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2543 ข้อ 4 (2)
เรื่องนี้ตนขอตั้งข้อสังเกตว่า นายชูวิทย์ซึ่งเป็นนักธุรกิจอสังหา มีทีมกฎหมายเป็นที่ปรึกษา ก่อนมาแถลงข่าวกล่าวหานายเศรษฐาคงจะต้องศึกษารายละเอียดมาหมดแล้วว่าผู้ขายทั้ง 12 คนนี้ได้ที่ดินมาไม่พร้อมกัน นายชูวิทย์ก็รู้ แต่จงใจพูดข้อเท็จจริงเพียงบางส่วน เพื่อให้สังคมเข้าใจว่าได้ที่ดินมาพร้อมกันในวันที่แถลงข่าว เหมือนพูดความจริงครึ่งเดียว เหตุใดนายชูวิทย์จึงไม่พูดทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าที่ดินได้มาไม่พร้อมกัน นายชูวิทย์ปกปิดความจริงข้อนี้เพื่อใช้เป็นช่องในการกล่าวหานายเศรษฐาใช่หรือไม่ เพราะหากนายชูวิทย์พูดความจริงตรงนี้ให้หมดตัวเองจะกล่าวหานายเศรษฐาไม่ได้เลย
นอกจากนี้ ตนตั้งข้อสังเกตต่อว่า ผู้ซื้อเป็นนิติบุคคล เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ มีผู้ยริหารหลายคน แต่เหตุใดนายชูวิทย์จึงตั้งใจโจมตี ดิสเครดิตนายเศรษฐาเพียงคนเดียว ถามว่าหากไม่มีวาระซ่อนเร้นทำไมช่างบังเอิญเช่นนี้ ต่อมาก็กล่าวหานายเศรษฐามีเงินทอน เป็นตัวการร่วม หรือรู้เห็นเป็นใจซึ่งเรื่องนี้ตนขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริงเลย ตนได้รับเอกสารข้อหารือลงวันที่ 9 มีนาคม 2558 ระหว่างกรมที่ดิน กับกรมสรรพากรกรณีนี้ ซึ่งมีข้อสรุปออกมาเป็นไปตามคำสั่งกรมสรรพากรข้างต้น ดังนั้น การกล่าวหาว่านายเศรษฐารู้เห็นเป็นใจ หรือสมคบกับผู้ขายในการหลีกเลี่ยงภาษีมีเจตนากลั่นแกล้ง และหวังผลทางการเมืองต่อตัวนายเศรษฐา
“ชูวิทย์” บอกขนลุก ถูก “เศรษฐา”ส่งทนายฟ้อง 500 ล้าน ยันไม่ใช่การวางแผนภาษี มีหลักฐานชัด เตรียมเปิดบ่ายนี้
นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ พร้อมด้วย อนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความ เดินทางมายังศาลอาญา ถนนรัชดาพิเษก พูดถึงกรณีที่ นาย เศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดทนายกรัฐมนตรี ที่จะฟ้องนายชูวิทย์ ที่ไปแฉกรณีการหลบเลี่ยงจ่ายภาษีที่ดิน มูลค่ากว่า 500 ล้านบาท เมื่อครั้งเป็นผู้บริหารบริษัท แสนสิริ จำกัด มหาชน
โดยนายชูวิทย์ พูดคำแรกกับสื่อมวลชน ว่า “ขนลุก” ผทยืนข้างกับทนายความกระดูกเหล็ก แล้วตอนนี้ผมมีคดีความอยู่ 21 คดีแล้ว จะมีอีกคดีมันก็ทำเพื่อชาติบ้านเมือง และบอกว่า นายเศรษฐา เป็นบุคคลสาธารณะ เสนอตัวเองขึ้นมาเป็น นายกรัฐมนตรีของคนไทย ดังนั้นการวิจารณ์เป็นการวิจารณ์ด้วยความเป็นธรรม และยังมองอีกว่า นายเศรษฐา เป็นนายทุน ที่ขึ้นรถไฟความเร็วสูง สายยิ่งลักษณ์ โดดเข้ามายังพรรคเพื่อไทย ไม่ได้ไต่เต้า แต่ไต่อะไรเข้ามาไม่รู้ และเมื่อสิ่งที่นายเศรษฐาจะเข้ามานั้น คุณสมบัติจะต้องก็เป็นสิทธิที่ประชาชนอย่างผมจะวิพากษ์วิจารณ์ เพราะตามนัฐธรรมนูญ มาตรา 160 คนที่เป็นนายกจะต้องมีความซื่อสัตย์เป็นประจักษ์ ซึ่งจะต้องไปดูความตามกฎหมายเป็นคุณสมบัติในอดีต หรือ เป็นปัจจุบัน ฉะนั้น ก่อนที่นายเศรษฐาจะเข้ามาเป็นนายกก็ต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ แต่เมื่อมีพฤติกรรมซ่อนเร้น น่าสงสัย จากการวางแผนหลบเลี่ยงภาษี ไม่ใช่จู่ๆตนเองจะไปพูดซึ่งประเด็นดังกล่าว นายเศรษฐาจะมาฟ้องตนเองนั้น ตนเองก็ยังพูดกับทนายความเลยว่า จะฟ้องกลับ เพราะดูเหมือนเป็นการกลั่นแกล้ง ปิดปาก และที่ผ่านมานายเศรษฐา กลับเงียบ ไม่ออกมาชี้แจงแต่กลับจะฟ้องตนเอง
นายชูวิทย์ ยังเปิดเผยอีกว่า ในสัปดาห์นี้ตนเองจะเดินหน้าแฉเรื่องอีกหลายอย่าง และ บ่ายนี้ตนเองจะเดินทางไปยัง ปปช.เพื่อแสดงหลักฐานบางอย่างอีกด้วย และยังบอกอีกว่าตนเองมีความรู้ด้านบัญชี กสรตรวจสอบบัญชี และภาษีอีกด้วย
นายชูวิทย์ ยังกล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่มีทนายบางคนออกมาตอบโต้ตน ถือว่าไม่เป็นไรเพราะเราอย่าลืมคำว่าจริยธรรม คนที่เป็นนายกจะต้องดี 100% ไม่ใช่ดีเพียง 50% เพราะคำว่าจริยธรรมเป็นเพียงเส้นบางๆระหว่าง เล่ห์เหลี่ยมของนายทุน กับความซื่อสัตย์ของนายกรัฐมนตรี สิ่งที่ทำนี้ ถ้าคิดว่าถูกกฎหมาย ก็ต้องไปประกาศ ว่าสิ่งที่ทำเป็นกฎของเศรษฐา การแบ่งแยกโอน 12 คน 12 วัน เปรียบเหมือน ศรีธนญชัยมันเป็นสิ่งชัดเจนอยู่แล้วว่าคุณวางแผน ตกลงกัน ว่าจะมีการตอบแทนอะไรต่อกัน ยิ่งตัวเองเป็นบริษัทใหญ่ มหาชน มีการโฆษณารักเด็ก รักษ์โลก แต่กลับไม่มีธรรมาภิบาล
พร้อมยืนยัน นี่ไม่ใช่การวางแผนภาษี เป็นคนละเรื่องกัน ส่วนที่ไปยื่นเรื่องที่สรรพากรที่ผ่านมานั้นตนเป็นคนชอบขุด ชอบทำหลุมพรางไว้ก่อน แล้วล่อให้ตกหลุมลงมา จากนั้นก็จะเอาหลักฐานมารัดคอ ว่าสิ่งที่ผู้รู้กฎหมายออกมาพูดนั้นมันจริงหรือไม่ และยังบอกอีกว่าพฤติกรรมการหลบเลี่ยงภาษีในลักษณะนี้ เคยมีการดำเนินคดีมาแล้ว มีการตัดสินคดีมาแล้ว มีบทเรียนมาแล้ว มีโทษตามกรรม เมื่อผู้ซื้อและผู้ขายร่วมทำนิติกรรมอำพรางด้วยกันก็จะต้องรับโทษตามกฎหมาย และยังพูดอีกว่า "คนใส่สูทเวลาจะปล้นไม่ได้ใช้ปืนแต่ใช้กฎหมายเว้นวรรค"
ด้านนายอนันต์ไชย กล่าวว่า หลักมีอยู่ว่าการกระทำความผิดในคดีอาญาต้องมีเจตนาเล็งเห็นผลได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น กรณีที่เกิดขึ้นกับนักการเมืองและมีการตรวจสอบโดยประชาชน ถือว่าประชาชนมีสิทธิ์ตรวจสอบ ถ้ามีผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินหลายคนก็จะต้องคุยให้จบทุกคน จากนั้นเป็นขั้นตอนสู่การโอน ซึ่งการ ลดภาษีก็มีช่องทางวิธีการทำอยู่ ทั้งนี้กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา