"นพดล" ขอความเป็นธรรมให้ "เศรษฐา" ย้ำ ไม่ผิดจริยธรรม-ไม่ได้สมคบเลี่ยงภาษี ปม แสนสิริซื้อที่ดิน หลังเพื่อไทยเดินหน้าเสนอชื่อโหวตนายก มองหวังปฏิบัติการทางการเมือง เชื่อสมาชิกรัฐสภาจะมีวิจารณญาณตัดสินใจ
นายนพดล ปัทมะ สส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์กรณีที่พรรคเพื่อไทยจะเสนอชื่อ นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค โหวตนายกรัฐมนตรีครั้งต่อไป แต่ยังมีข้อกังขาเรื่องการถูกยื่นให้องค์กรอิสระตรวจสอบคุณสมบัติ โดยยืนยันย้ำว่า พรรคเพื่อไทยเดินหน้าเสนอขื่อเศรษฐาให้สภาเห็นชอบ
ส่วนที่มีการยื่นให้องค์กรอิสระตรวจสอบนั้นอยากจะยืนยันว่า นายเศรษฐามีคุณสมบัติตามกฏหมายไม่ได้ฝ่าฝืนจริยธรรมใดใดทั้งสิ้น โดยในประเด็นเรื่องที่ถูกกล่าวหาว่าสมรู้ร่วมคิดเรื่องการเลี่ยงภาษี ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง เพราะกรณีผู้ถือหุ้นกรรมสิทธิ์ที่ดินนั้น มีการโอนในปี 2561 เรื่องการโอนคนละวันนั้น ตามกฏหมายการประกาศของกรมสรรพากร เขียนไว้ชัดเจนว่า การโอนคนละวันหากเสียภาษีจะเสียภาษีตามเงินได้ค่าที่ดินที่แต่ละคนได้รับมาไม่ได้เสียตามคณะบุคคล และการโอนจากเจ้าของเดิม มาให้ผู้ถือหุ้น 12 รายนั้นเกิดขึ้นเมื่อเดือนธันวาคม 2561 กว่าจะมาโอนให้ บรษัทแสนสิริคือในเดือนสิงหาคม 2562 ซึ่งห่างกันหลายเดือนมาก ดังนั้นการโอนจากเจ้าของไปให้ผู้ถือหุ้น 12 ราย ได้เกิดก่อนที่จะโอนมาให้กับแสนสิริ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับนายเศรษฐา
ส่วนที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ พยามที่จะพูดว่าการโอนจากเจ้าของกรรมสิทธิ์มาให้ผู้ถือหุ้น 12 รายทำไมถึงโอนคนละวัน 12 วันนั้น ประเด็นนี้ตนอยากจะชี้แจงว่าที่เขาโอนคนละวัน เพราะราคาซื้อขายไม่เท่ากัน เขาขายให้ผู้ขาย 12 ราย กับขายให้กับแสนสิริไม่เท่ากัน จึงโอนคนละวันเท่านั้นเอง
และการโอนคนละวันไม่ได้มีสาระที่จะเปลี่ยนแปลงภาษีในการที่จะชำระของแต่ละคน เพราะเขาจะดูเดือนขาเข้า คือเดือนธันวา 2561 ไม่ได้ดูขาออกปี 2562
ทั้งนี้ตนจึงอยากขอความเป็นธรรมให้กับนายเศรษฐาทำให้วันนี้ต้องมาชี้แจงอีกครั้ง หลังจากตนก็เป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยเช่นกันที่จะต้องสนับสนุนนายเศรษฐา
นายนพดล ยังกล่าวอีกว่า จะเรียกร้องว่าการไปใส่ร้ายให้กับคนใดคนหนึ่งในเรื่องที่เค้าไม่ได้ก่อขึ้น ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่เป็นธรรม และเป็นการท้าทายหลักนิติธรรมและมโนสำนึกที่กุเรื่องขึ้นมา และพรรคเพื่อไทยไม่ได้หวั่นไหว จะยังคงเดินหน้าต่อไป และหวังว่า การโหวตข้างหน้าจะเป็นไปได้ด้วยดี
พร้อมยืนยันด้วยเกียรติของนักกฏหมายว่า ข้อเท็จจริงเป็นอย่างที่ตนกลับเรียนชี้แจง นายเศรษฐา ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในการวางแผนภาษี
และมองว่าการดำเนินการในช่วงนี้ เป็นปฎิบัติการทางการเมืองโดยแท้ เพราะหากเห็นว่าไม่ชอบมาพากล นายชูวิทย์คงดำเนินการไปตั้งนานแล้ว
ทั้งนี้ตนยินดีที่จะให้สภาไปตรวจสอบ เพราะถ้าคนอ่านกฎหมายเป็นก็จะรู้ว่าไม่ได้ซับซ้อนอะไร และนายไม่ได้เกี่ยวข้อง จึงไม่ผิดจริยธรรมอะไร และเชื่อว่าสมาชิกรัฐสภาจะมีวิจารณญาณทำในสิ่งที่ถูกต้อง
ส่วนกระบวนการที่นายเศรษฐาไปฟ้องนายชูวิทย์นั้น เป็นการทำความจริงให้ปรากฎไม่ได้เป็นการสมคบกันเรียกภาษี และไม่ได้เป็นการปิดปากนายชูวิทย์ แต่เพื่อเป็นการปกป้องสิทธิของผู้ได้รับผลกระทบ ถ้ามีคนกล่าวหาด้วยความเท็จก็ต้องสู้ เพราะไม่มีใครปกป้องเราด้วยตัวเราเอง