อัปเดต 3 สูตรล่าสุดการจัดตั้งรัฐบาลเพื่อไทย สูตรที่ 1 มี "พลังประชารัฐ" แต่ไม่มี "รวมไทยสร้างชาติ" สูตรที่ 2 มี "รวมไทยสร้างชาติ" แต่ไม่มี "พลังประชารัฐ" และสูตรที่ 3 ที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดในเวลานี้นั่นก็คือ มีทั้งพรรค 2 ลุง ในรัฐบาลเพื่อไทย
แม้ว่าสังคมจะมองข้ามช็อตไปแล้ว สำหรับการจัดตั้งรัฐบาลเพื่อไทย ว่าสุดท้ายต้องมี “พรรคลุง” เข้ามาผสม เพราะ 238 เสียงในเวลานี้ ไม่เพียงพอที่จะทำให้ได้รัฐบาลที่มีเสถียรภาพ อีกทั้งต้องคิดเผื่อการผ่านด่าน สว. ทำให้ “พรรคลุง” กลายเป็นคำตอบสุดท้ายด้วยประการฉะนี้
แม้รัฐบาลใหม่จะมี “พรรคลุง” แน่ๆ แต่กระแสก็ยังไม่นิ่ง ว่าจะเป็นพรรคของลุงคนไหน พรรคของลุงป้อม ? หรือพรรคของลุงตู่ ? หรือเอามันทั้ง 2 พรรค ? เพราะไหนๆ ก็ถูกด่ายับไม่มีชิ้นดี ว่าแล้วเราก็มาชำแหละแต่ละแนวทางดูว่า โมเดลไหนมีความเป็นได้มากที่สุด
โมเดลแรก ดึง “พรรคพลังประชารัฐ” เข้ามาร่วมด้วย ซึ่งหากจะว่าไปแล้ว ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่เซอร์ไพรส์นัก เพราะก่อนการเลือกตั้งก็มีกระแสข่าวสะพัดเรื่องดีลลับระหว่าง “เพื่อไทย” กับ “พลังประชารัฐ” ว่าจะร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง แม้ช่วงหาเสียง “เพื่อไทย” จะยืนยันว่า “ไม่เป็นจริ๊ง” (เสียงสูง) แต่ช่วงแรกๆ ก็ไม่ยอมให้คำมั่นว่า จะไม่จับมือกับ “พลังประชารัฐ”
กระทั่งกระแส “มีลุงไม่มีเรา” ของ “พรรคก้าวไกล” จุดติด และส่งสัญญาณว่าจะโกยคะแนนเพียบจากแคมเปญดังกล่าว กดดันให้ “เพื่อไทย” ต้องให้สัญญากับประชาชน อีกทั้งยังระบุชื่อพรรคชัดๆ ไปเลยว่า จะไม่ร่วมรัฐบาลกับ “พลังประชารัฐ” และ “รวมไทยสร้างชาติ” อย่างเด็ดขาด
แต่เมื่อผลการเลือกตั้งออกมา “พรรคก้าวไกล” กลายเป็นที่ 1 มีความชอบธรรมเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล โดยมี “พรรคเพื่อไทย” ตามมาเป็นอันดับ 2 จำต้องรับบท “พระรอง” แต่ด้วยอำนาจต่อรองที่สูง บวกกับความเก๋า ความเขี้ยวทางการเมือง และสถานการณ์ต่างๆ ที่เป็นใจราวกับจับวาง ทำให้ไปๆ มาๆ “พรรคก้าวไกล” ถูกดีดไปเป็นฝ่ายค้าน และ “พรรคเพื่อไทย” กลายเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล พร้อมเปิดสูตร “ไม่มีลุง ไม่มีก้าวไกล” เพื่อลดอารมณ์เดือดของผู้คนในสังคม
แต่อย่างที่รู้ๆ กัน สูตร “ไม่มีพรรคลุง ไม่มีก้าวไกล” ยังไงก็ไปไม่รอด เพราะ 2 พรรคลุง ล้วนมีคอนเนคชั่นที่แน่นปึ้กกับเหล่า สว. ในตอนแรกจึงมีการคาดการณ์กันว่า ถ้าให้เลือก “พรรคลุง” เพียงพรรคเดียว โอกาสที่พรรคนั้นจะเป็น “พลังประชารัฐ” มีค่อนข้างสูง เมื่อปะติดปะต่อกับกระแสข่าวสะพัดดีลลับก่อนหน้านี้
โมเดลที่ 2 ดึง “พรรครวมไทยสร้างชาติ” เข้ามาร่วม โดยไม่มี “พรรคพลังประชารัฐ” ซึ่งในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง หากใครบอกว่า “เพื่อไทย” กับ “รวมไทยสร้างชาติ” จะร่วมรัฐบาลกัน คงถูกด่าว่ามั่วอย่างแรง เพราะทั้ง 2 พรรคไม่ต่างอะไรกับปลาคนละน้ำ แต่ในวันนี้กลับมีแนวโน้มว่า รัฐบาลเพื่อไทยจะมี “รวมไทยสร้างชาติ” ร่วมอยู่ด้วย
โดยในวันที่ 10 สิงหาคม “รศ.ดร.ธนพร ศรียากูล” ผู้อำนวยการสถาบันวิเคราะห์การเมืองและนโยบาย ก็ได้ให้สัมภาษณ์กับ “ข่าวช่อง 8” ว่า ด้วยจำนวน สว. ที่เป็นแฟนคลับของ “บิ๊กตู่” มีมากกว่า สว. ที่เป็นแฟนคลับ “บิ๊กป้อม” ค่อนข้างมาก ในระดับที่การันตีได้เลยว่า หากเลือก “รวมไทยสร้างชาติ” จะได้เสียงสนับสนุนจาก สว. ที่เพียงพอให้ “แคนดิเดตฯ เพื่อไทย” ได้เป็นนายกฯ
รวมถึง “บิ๊กตู่” ได้ลาออกจากสมาชิกพรรค และประกาศว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ “พรรครวมไทยสร้างชาติ” แล้ว ทำให้ “เพื่อไทย” พอนำไปใช้เป็นข้ออ้างได้บ้าง แม้จะฟังไม่ขึ้นก็ตาม ในขณะที่ “พรรคพลังประชารัฐ” ยังคงมี “บิ๊กป้อม” เป็นหัวหน้าพรรคอยู่
และอีกปัจจัยที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ “อิทธิฤทธิ์” ในองค์กรต่างๆ ของ “บิ๊กตู่” ที่ยังคงมีพลังอำนาจอยู่ ที่อาจช่วยให้ “พรรคเพื่อไทย” ไม่ต้องเจอกับโจทย์ยากๆ ระหว่างการเป็นรัฐบาล
ส่วนโมเดลที่ 3 “เก็บเธอไว้ทั้ง 2 ลุง” ถือว่ากำลังมาแรงสุดๆ ในช่วงเวลานี้ โดยเหล่ากูรูทางการเมืองวิเคราะห์ว่า สุดท้ายแล้วก็มากันทั้ง 2 ลุงน่ะแหละ ทำให้หน้าตารัฐบาลชุดใหม่ ไม่ได้แตกต่างจากรัฐบาลเดิม เพียงแต่มี “พรรคเพื่อไทย” เป็นแกนนำฯ แต่แทบไม่มีอำนาจต่อรองใดๆ เลย “พรรคเพื่อไทย” จะกลายเป็นแกนนำฯ ที่แทบจะไร้อำนาจ ถูกพรรคร่วมฯ กดขี่
โดยการวิเคราะห์ล่าสุดของ “จตุพร พรหมพันธุ์” แกนนำคณะหลอมรวมประชาชน เมื่อคืนวันที่ 11 สิงหาคม ก็ได้คาดการณ์ไว้ว่า 2 พรรคลุง จะเข้าร่วมรัฐบาลเพื่อไทย แต่หากเสนอชื่อ “เศรษฐา ทวีสิน” เป็นนายกฯ ก็จะไม่ผ่านด่าน สว. กระทั่งเมื่อเสนอ “อุ๊งอิ๊งค์ - แพทองธาร ชินวัตร” นั่นแหละ ก็จะได้รับเสียงสนับสนุนจากสภาจนเกิน 376 เสียง ได้เป็นนายกฯ คนที่ 30 ของประเทศ
แต่อยู่ได้ไม่นาน เพราะจะเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองขึ้น ที่อาจส่งผลให้นายกฯ คนต่อไป หรือคนที่ 31 ชื่อ “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” จตุพรเขาว่าอย่างนั้น