จากกรณีมีผู้ใช้ TilTok ชื่อ นิสัยคนไทย โพสต์คลิป ตำรวจถูกกลุ่มชาวบ้านประมาณ 4-5 คน รุมว่าและกล่าวหาว่าบุกรุก หลังจากที่ได้เข้าไปเพื่อแจ้งให้กลุ่มดังกล่าวหยุดเปิดเพลงส่งเสียงดังรบกวนคนอื่น ซึ่งก่อนหน้านี้มีประชาชนได้แจ้งตำรวจเข้ามา และจากนั้นได้ทราบชื่อ เจ้าหน้าที่ตำรวจคนดังกล่าว คือ ส.ต.ต.สุรวีร์ วีรชาติ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจ สภ.เมืองสมุทรปราการ โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นวันที่ 12 สิงหาคม 2566 เวลาประมาณ 22.00 น.
จากในคลิปคาดว่ากลุ่มชาวบ้านดังกล่าวน่าจะเป็นครอบครัวเดียวกัน และมีพฤติกรรมลักษะไล่ ส.ต.ต.สุรวีร์ ออกจากพื้นที่บ้านและมีการพูดกล่าวอ้างว่ารู้จักตำรวจชั้นผู้ใหญ่หลายคน โดย ส.ต.ต.สุรวีร์ ได้มีการพยายามเจรจา แต่ก็ไร้ผล เนื่องจากครอบครัวดังกล่าวไม่ฟังอะไรเลยและยังมีการพูดจาหมิ่นในลักษณะหาเรื่อง ส.ต.ต.สุรวีร์ ปรากฎว่านี่คือ ครอบครัวหัวร้อน หรือ ครอบครัวกร่าง
เปิดวงจรปิดครอบครัวหัวร้อนขู่ตำรวจ
จากภาพวงจรปิดจะเห็นว่า ส.ต.ต.สุรวีร์ วีรชาติ ได้ขี่รถจักรยานยนต์เข้าไปตักเตือนเรื่องการเปิดเพลงส่งเสียงดังที่บริเวณร้านสเต็ก ของนายตุ๋ยและนางนก เพียงนายเดียวในช่วงเวลาประมาณ 22.39 น. จากนั้นครอบครัวดังกล่าวได้ลงมาคุยกับ ส.ต.ต.สุรวีร์ โดยในตอนแรกลงมาคุยเพียง 2 คน จากนั้นกลายเป็นมาล้อม ส.ต.ต.สุรวีร์ ถึง 6 คน และยังมีการผลักเข้าที่อกของ ส.ต.ต.สุรวีร์ โดยครอบครัวผู้ก่อเหตุอ้างว่า ส.ต.ต.สุรวีร์ ได้นำมือจับไว้ที่อาวุธปืน พร้อมที่จะชักออกมาตลอดเวลา น.ส.ช่อเพชร ที่เป็นลูกสาวเลยเข้าไปผลัก ส.ต.ต.สุรวีร์ ออกจากพื้นที่บ้าน และดึงนายตุ๋ย ผู้เป็นพ่อที่อยู่ในอาการโมโห ออกมา แม้กระทั่งยานพาหนะ ของ ส.ต.ต.สุรวีร์ คือจักรยานยนต์ นายบอยที่เป็นลูกชายของนายตุ๋ยและนางนก ก็เข็นออกมาให้ หลังจากที่ผลัก ส.ต.ต.ออดจากบ้านแล้ว
คลิปนี้เป็นคลิปที่ฝ่ายครองครัวที่ก่อเหตุได้ถ่ายขณะเกิดเหตุ โดยคลิปนี้จะได้ยินเสียง ที่ครอบครัวนี่ไล่ ส.ต.ต.สุรวีร์ ออกจากบ้านและร้านอย่างชัดเจน และจะเห็นในช่วงที่ น.ส.ช่อเพชร ผลัก ส.ต.ต.สุรวีร์ อย่างชัดเจน จนกระทั่ง ส.ต.ต.สุรวีร์ ขี่รถจักรยานยนต์ออกไป
นางนก เปิดใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำไมต้องแจ้งความกลับ
วันนี้ (14 สิงหาคม 2566) ทีมข่าวได้ลงพื้นที่ไปยังจุดเกิดเหตุ ซึ่งที่เกิดเหตุดังกล่าวเป็นลักษณะร้านขายกาแฟและสเต็ก อยู่บริเวณสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส ศรีนครินทร์ จากนั้นทีมข่าวจึงได้พบกับนางอรพรรณ อายุ 58 ปี หรือ นางนก
โดยนางนกเล่าให้ทีมข่าวฟังว่า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2566 ซึ่งในวันดังกล่าวเป็นวันแม่ลูกๆของตน จึงได้มีการกลับมาไหว้ตนเนื่อง ในวันแม่และได้มีการจัดสังสรรค์กันเล็กน้อย โดยมีการเปิดเพลงจริงแต่เปิดไม่ได้ดังมาก จากนั้นเมื่อเวลาประมาณ 22.00 น. ได้มีตำรวจคนดังกล่าวในคลิป เข้ามาแจ้งว่าที่ร้านของเราเปิดเพลงส่งเสียงดังรบกวนคนอื่น ให้ปิดเพลงและเลิกสังสรรค์กัน ซึ่งตนและครอบครัวก็ได้ไปเบาเพลงให้ แล้วก็ได้บอกกับตำรวจนายนั้นว่าบางเพลงให้แล้วก็ให้กลับออกไปจากบ้านของตนได้แล้ว ซึ่งในขณะที่ตำรวจขับรถเข้ามานั้นได้ขับรถพุ่งเข้ามาภายในบ้านของตน
แต่ตำรวจนายนั้นก็ได้มองหน้าตนและครอบครัวด้วยสายตาที่แข็ง และได้ยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายภาพร้านและบ้านของตนโดยรอบ ตนและครอบครัวจึงได้สอบถามไป ว่าถ่ายรูปบ้านและร้านของตนทำไม แต่ตำรวจนายนั้นก็ไม่ได้ตอบและยังใช้โทรศัพท์ถ่ายรูปอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้ตนและสามี เกิดความหงุดหงิดแล้วโมโห จึงได้เป็นภาพที่เกิดขึ้นในคลิปที่ลงโซเชียล ที่ตนและครอบครัวได้มีลักษณะการไล่ตำรวจแน่นอนออกจากบ้าน ซึ่งตำรวจคนดังกล่าวเข้ามาเพียงนายเดียว ซึ่งโดยปกติเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจจะต้องมาปฏิบัติงาน 2 นาย จึงทำให้ตนเกิดความสงสัยว่ามีการแจ้งเหตุไปจริงหรือไม่
อีกทั้งในช่วงเช้าของวันนี้ ยังมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาส่งหมายเรียกที่บริเวณหน้าบ้าน โดยหมายเรียกดังกล่าวแจ้งว่าตนและครอบครัวเป็นผู้ต้องหา โดยได้เขียนมาที่บริเวณหัวกระดาษหมายเรียก โดยแจ้งมาทั้งหมดสี่คน คือ ตน สามี และลูกสาวอีก2คน โดยตั้งข้อกล่าวหาถึง6ข้อหา คือ
1. ร่วมกันต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานขณะปฎิบัติหน้าที่
2. ร่วมกันเปิดเพลงส่งเสียงดัง หรือกระทำการอื้ออึง โดยไม่มีเหตุอันสมควร
3.ร่วมกันกระทำการข่มขู่ คุกคราม หรือกระทำให้ได้รับความอับอายและเดือดร้อนรำคาญ
4. ร่วมการดูหมิ่นเจ้าพนักงานที่กระทำการตามหน้าที่
5.ร่วมกันทำร้ายร่างกายเจ้าพนักงาน ซึ่งกระทำการตามหน้าที่
6. ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นไม่เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจ
ซึ่งการตั้งหกข้อหาแบบนี้ตนเองมองว่าไม่เป็นธรรม โดยไม่ได้มีการสอบสวนตนและครอบครัวก่อนเบื้องต้นเลย และหลังจากนี้ ตนก็จะเข้าแจ้งความกลับเช่นกัน
สามีนางนก ยอมรับดื่มจริง แต่ตำรวจบุกเข้าบ้าน
จากนั้นทีมข่าวจึงได้พบกับ นายอดิศร อายุ 58 ปี หรือ นายตุ๋ย ซึ่งเป็นสามีของคุณนก และในคลิปที่ลงโซเชียลเป็นผู้กล่าวอ้างว่ารู้จักตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ทีมข่าวจึงได้สอบถามเรื่องการกล่าวอ้างของนายตุ๋ย และเรื่องราวที่เกิดขึ้น โดยนายตุ๋ยได้ชี้แจงกับทีมข่าวว่า
“จากเหตุการณ์ในคลิปเป็นภาพเหตุการณ์ ที่ลงไม่หมดโดยในช่วงแรกไม่ได้ลงให้เห็น จึงทำให้ผู้ที่ดูคลิปนี้ที่ลงโซเชียลเข้าใจตนผิด ซึ่งในเหตุการณ์วันนั้น ตนยอมรับว่าตนดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอร์ไปจริง โดยตำรวจคนดังกล่าวเข้ามาให้เบาเพลงตนก็ดำเนินการให้ แต่หลังจากดำเนินการให้แล้วก็ยังไม่ยอมไป และยังจะมาใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายรูปร้านและบ้านของตนอีก จึงทำให้เกิดความโมโห และพูดออกไปแบบในคลิปที่ลงโซเชียล
และในเรื่องที่ตนได้อ้างตำรวจชั้นผู้ใหญ่นั้น พี่น้องของตนก็เป็นตำรวจอยู่จริง และตนนั้นก็รักและศรัทธาในองกรณ์ของตำรวจอยู่แล้ว และการที่ตนได้พูดว่า “ตำรวจยศใหญ่แค่ไหนก็ต้องขออนุญาตตนก่อนเข้ามาในบ้าน “นั้น ตนต้องการที่จะบอกกับตำรวจคนดังกล่าวว่า ตำรวจท่านอื่นๆที่เค้าเคยมาขอความร่วมมือ เค้ายังขออนุญาตก่อนและพูดจาดี โดยก่อนหน้านี้เคยมีวัยรุ่นหนีตำรวจเข้ามาในบริเวณบ้านของตน ตำรวจที่มาตามยศถึง พันตำรวจโท ยังมายืนอยู่ทางเข้าบ้านของตนและขออนุญาติด้วยความนอบน้อมก่อนเข้าบ้าน ไม่ใช่มาพูดจาแบบตำรวจนายนี้
อีกทั้งตนและครอบครัวก็ยังเคยมีเรื่องเข้าใจผิดกันมาก่อนและมาในรอบนี้ตำรวจนายยร้ก็มาเพียงนายเดียว ตนเลยเกรงว่าจะเป็นการกลั่นแกล้งกัน เลยขอความเป็นธรรมฝนเรื่องนี้ด้วย
นายตุ๋ย นางนก แจ้งความจับตำรวจนายนี้
วันนี้ 14 ส.ค. 66 นายตุ๋ย นางนก และครอบครัวที่ก่อเหตุในคลิปจึงพากันเดินทางไป สภ.สมุรปราการ เพื่อแจ้งความกลับ ส.ต.ต.สุรวีร์ ใน 4 ข้อหา คือ
1. บุกรุกเข้ามาในเคหะสถานในยามวิกาล
2.แจ้งความเท็จ เป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียหาย
3.แจ้งความเกี่ยวกับ พรบ.คอมพิวเตอร์
4.การปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
รองผู้กำกับฯ สภ.เมืองสมุทรปราการ ชี้แจงปมดราม่าครอบครัวหัวร้อน
จากนั้นทีมข่าวได้ขออนุญาต เข้าพบ พ.ต.ท.ไมตรี บูรณทอง รองผู้กำกับฝ่ายป้องกันและปราบปรามสถานีตำรวจภูธรเมืองสมุทรปราการ เพื่อให้ท่านได้ชี้แจง กรณีคลิปที่เกิดขึ้น แทน ส.ต.ต.สุรวีร์ ซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาโดยตรง
โดย พ.ต.ท.ไมตรีได้ให้สัมภาษณ์ชี้แจงกับทีมข่าวว่า จากกรณีภาพในคลิปที่เกิดขึ้น เป็นวันที่ 12 สิงหาคม 2566 เวลาประมาณ 22.00 น. โดยในเบื้องต้นศูนย์วิทยุ 191 ของจังหวัดสมุทรปราการ ได้รับแจ้งเหตุเปิดเพลงส่งเสียงดังทำให้เดือดร้อนรำคาญ ที่บริเวณร้านสเต็กใต้สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส ศรีนครินทร์ ทางสภ. เมืองสมุทรปราการถึงได้ส่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจ เข้าไปตรวจสอบเหตุนี้
โดยเจ้าที่สายตรวจที่ไปก็คือส.ต.ต.สุรวีร์ วีรชาติ ซึ่งมาถึงที่เกิดเหตุ ก็พบว่าบริเวณร้านดังกล่าวได้มีการจัดการสังสรรค์ภายในครอบครัว ความรู้และเปิดเพลงส่งเสียงดังจริง จึงได้ทำการว่ากล่าวตักเตือน และ ทำการถ่ายรูปเพื่อรายงานผู้บังคับบัญชา ซึ่งในตอนที่ถ่ายรูปนั้น จะได้มีผู้ที่เป็นเจ้าของร้านและบ้านเข้ามาไล่ ออกจากบริเวณบ้าน โดยอ้างว่า ส.ต.ต.สุรวีร์ นั้นบุกรุก จึงเป็นภาพแบบในคลิปที่ปรากฏ
ส่วนในเรื่องที่ ส.ต.ต.สุรวีร์ ได้ไปปฎิบัติงานนายเดี๋ยวนั้น สาเหตุก็เป็นเพราะ ก่อนหน้าที่จะมีการแจ้งเหตุเปิดเครื่องเสียงส่งเสียงดังนั้นได้มีเหตุทะเลาะวิวาทและทำร้ายร่างกายโดยใช้อาวุธมีดเขามาก่อน จึงจำเป็นที่จะต้องใช้เจ้าหน้าที่หลายนายในการเข้าจับกุมผู้ก่อเหตุ จากนั้นก็มีเหตุเปิดเครื่องเสียงส่งเสียงดังเหตุนี้ขึ้นมา ส.ต.ต.สุรวีร์ จึงได้ฉีกออกมาเพียงนายเดียว ซึ่งโดยปกติแล้วการทำงานของเจ้าที่สายตรวจจะต้องไปกันเป็นคู่ แต่ด้วยเบื้องต้นเห็นว่ากรณีเปิดเครื่องเสียงส่งเสียงดังการเข้าหน้าเพจก็แค่เข้าไปว่ากล่าวตักเตือนให้ปิดเครื่องเสียงเพียงเท่านั้น ส.ต.ต.สุรวีร์ จึงไปเพียงนายเดียว
และในส่วนเรื่องของการใช้มือจับอาวุธปืนไว้ตลอดเวลานั้น ก็เป็นยุทธวิธีอย่างหนึ่งของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งในขณะนั้น ส.ต.ต.สุรวีร์ กำลังถูกล้อมไปด้วย กลุ่มของผู้ก่อเหตุ จึงต้องระวังที่จะถูกแย่งอาวุธปืน จึงจำเป็นที่จะต้องนำมือมาจับไว้ที่ด้ามของอาวุธปืน เพื่อป้องกันการถูกแย่ง
ส่วนในเรื่องของการดำเนินคดีกับผู้ก่อเหตุนั้น ในช่วงวันที่เกิดเหตุ ส.ต.ต.สุรวีร์ ได้มีการแจ้งผู้บังคับบัญชาให้รับทราบ ถึงกรณีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และได้มีการนำคลิปที่เกิดเหตุมาให้ผู้บังคับบัญชาได้ดู จากนั้นจึงเห็นว่าในคลิปดังกล่าวผู้ก่อเหตุได้กระทำผิดกฏหมายในลักษณะ 6 ข้อหาที่ได้แจ้งข้อกล่าวหาไป ซึ่งในเบื้องต้นได้แจ้งไปทั้งหมด4 คน และเหลืออีก 2 คนที่ต้องพิสูจน์ทราบว่าเป็นใคร หลังจากทราบแล้วว่าเป็นใครก็จะเพิ่มหมายเรียกอีก 2 คน เพื่อเข้ามารับทราบข้อกล่าวหา ซึ่งจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตนเห็นว่า ส.ต.ต. สุรวีร์ ได้ปฎิบัติหน้าที่อย่างถูกต้องแล้วและไม่ได้เห็นว่ามีตรงไหนผิดพลาด
ส่วนเรื่องการแจ้งความกลับของผู้ก่อเหตุนั้น ส่วนนั้นก็เป็นสิทธิ์ของทุกคนในการร้องทุกข์แจ้งความเมื่อได้รับความเดือดร้อน แล้วก็ว่ากันไปตามกฎหมาย