กรณีที่มีการตั้งข้อสงสัยว่า เจ๊นัน ผู้ต้องหาลักเด็กทารกวัย 2 วันจาก รพ.บางเลน จ.นครปฐม จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของน้องต่อวัย 8 เดือน ซึ่งอยู่บ้านตรงข้ามกับเจ๊นันหรือไม่นั้น
ทีมข่าวสอบถามนางสาวนิ่ม อายุ 17 ปี แม่ของน้องต่อ เปิดเผยว่า เจ๊นันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีการหายไปของน้องต่อ เนื่องจากตอนนี้คดีถึงชั้นอัยการแล้ว พร้อมเล่าย้อนว่าไปในวันเกิดเหตุว่า วันที่น้องต่อหายตัวไป คือวันที่ 5 กุมภาพันธ์ นายพุดก็ได้ไปถามกับทางบ้านของเจ๊นัน ซึ่งบ้านเจ๊นันได้ช่วยตามหาเช่นกัน แต่ยืนยันว่า ตนไม่ค่อยได้สุงสิงกับเจ๊นัน ที่ผ่านมาเจ๊นันเคยเป็นลูกค้าที่เคยซื้อเบียร์ที่ร้านซื้อของที่ร้านเท่านั้น
ดังนั้น ตนจึงยืนยันคำให้การเดิมและไม่ได้รับสารภาพไปเพื่อให้เรื่องจบไป และในวันที่เกิดเหตุตอนที่นายพุดไปขอกล้องวงจรปิดที่บ้านของนายนัน ในวันนั้น ตนรู้อยู่แก่ใจอยู่แล้วว่า ลูกเสียชีวิตไปแล้วจึงไม่ได้ติดใจสงสัย เพราะตนเป็นคนก่อเหตุเองและปกปิดไว้ แต่แค่สงสัยในส่วนของกล้องวงจรปิดที่อ้างว่ากล้องเสีย ที่ผ่านมา ก็ไม่เคยเห็นมีเด็กคนอื่นเข้าออกในบ้านหลังนี้ จะเห็นก็เห็นเพียงหลานสาวของเจ๊นันเอง
ส่วนเรื่องของเส้นการเงินนั้น ตนเองให้ตำรวจตรวจสอบไปก่อนหน้านี้แล้ว และยืนยันว่า ไม่เคยโอนเงินให้กันกับเจ๊นัน ซึ่งหากตำรวจยังมีข้อสงสัย ก็พร้อมให้ตรวจสอบอีกครั้ง ส่วนนายพุดที่ขณะนี้อยู่ในเรือนจำ ตนไม่รู้จะมีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่ หากมีการโอนเงินก็อาจจะเป็นเรื่องการโอนเงินซื้อของกันเท่านั้น
สำหรับประเด็นที่พ่อบอกว่า “สาเหตุที่นิ่มรับสารภาพไปเพราะอยากให้เรื่องจบ” ตนยืนยันว่า พ่อพูดด้วยอาการมึนเมา จึงตอบไปแบบนั้น พอมาถามตอนเช้า พ่อไม่รู้ตัวว่าพูดอะไรออกไปบ้าง เนื่องจากเมาจนจำไม่ได้
ทีมข่าวช่อง 8 ได้ไปคุยกับนายสุบิน ปู่ของน้องต่อ ในฐานะพ่อของนายพุด อดีตสามีของนิ่ม เปิดเผยว่า แม้ว่าคนอื่นจะมีความเชื่อว่าเจ๊นันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับน้องต่อตามที่เจ้าตัวให้การ แต่เรื่องนี้ก็คิดว่า ตัวของเจ๊นันยังพูดไม่หมด เพราะยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่ยังดูเป็นพิรุธ อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของน้องต่อหรือไม่ แต่หากพูดมากก็กลัวว่าครอบครัวของเจ๊นัน จะมีการฟ้องตนเอง ก็ไม่กล้าปรักปรำอะไรมาก คงได้แต่ตอบในประเด็นข้อสงสัยเท่านั้น
โดยเหตุการณ์การหายตัวไปของน้องต่อ กับช่วงเวลาที่เจ๊นัน มีการออกไปก่อเหตุลักพาตัวเด็กจากโรงพยาบาล เป็นช่วงเวลาคาบเกี่ยวและใกล้กัน ซึ่งก็เป็นช่วงเวลาประมาณตี 3 ตี4 จึงมองว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับช่วงเวลา และภายในมือถือของเจ๊ก็ยังมีภาพของน้องต่อรวมถึงเด็กคนอื่น รวมทั้งมีเรื่องของสลิปการโอน หรือการติดต่อกับนางสาวนิ่ม จึงเชื่อว่าเรื่องนี้อาจยังคงเป็นพิรุธและข้อสงสัยสำหรับตนเองในความเป็นปู่น้องต่อ และหากเป็นไปได้อยากจะให้รองโจ๊กได้มีการรื้อคดีนี้ขึ้นมา เพื่อให้ความเป็นธรรมกับน้องต่อ และหาเบาะแสต่อไป แม้ว่าคดีจะปิดไปแล้วก็ตาม
และแม้ว่าตลอดที่ผ่านมา ตนเองจะเป็นคนเดียวที่ออกมาให้สัมภาษณ์ยืนยันว่าน้องต่อมีชีวิตอยู่ วันนี้ก็ยังมีความเชื่อว่าน้องยังมีชีวิตอยู่ เพียงแค่ไม่รู้ถูกส่งไปอยู่กับใคร เพราะคนที่รู้ดีมากที่สุดก็คือนางสาวนิ่มแม่ของน้องต่อที่จะต้องพูดความจริงได้แล้ว อย่ามัวแต่ตอบจบแล้วให้ทุกอย่างมันจบ และยอมรับอ้างไปทั่ว และสิ่งที่ตนเองเชื่อว่าน้องต่อมีชีวิตอยู่ เป็นเพราะเชื่อในเทพและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุ้มครองตัวของน้อง ยังคงทำให้น้องปลอดภัย เรื่องนี้จึงทำให้ตนเองมั่นใจว่าน้องมีชีวิตอยู่ร้อยเปอร์เซ็นต์
ทีมข่าวช่อง 8 ได้มีการทดสอบใช้ถุงผ้าสีดำ ขนาดใกล้เคียงกับที่เจ๊นันใช้ก่อเหตุ พร้อมกับใช้ตุ๊กตาแทนตัวเด็กวัย 2 วัน โดยทีมข่าวได้นำตุ๊กตาใส่เข้าไปภายในถุงผ้า ซึ่งลักษณะจะพองและเห็นโผล่ออกมาเล็กน้อย เพราะเนื่องจากตุ๊กตามีสัดส่วนยาว แต่หากมีการจับวางลักษณะนอนสามารถวางได้ตามขนาดของกระเป๋า
ซึ่งทีมข่าวได้ทดสอบถือและเดินถือ สังเกตว่ากระเป๋าจะมีลักษณะเหวี่ยงไปมา ซึ่งมีโอกาสกระทบโดนขาที่ถือกระเป๋า รวมทั้งสิ่งของสิ่งกีดขวางที่เดินผ่านอาจจะไปกระทบโดนได้
และหากมีการนำกระเป๋าแขวนไว้ที่แฮนด์รถฝั่งซ้าย ซึ่งเป็นจุดเดียวกันกับที่เจ๊นันคนก่อเหตุ มีการเอากระเป๋าที่บรรจุเด็ก 2 วันแขวนเอาไว้ สังเกตว่าหากมีการออกตัวรถ วิ่งด้วยความเร็วหรือช้า หรือแม้แต่การเข้าโค้ง กระเป๋าอาจกระทบโดนบังโคลนหน้าของรถ ซึ่งส่วนที่จะกระทบเป็นส่วนแรกคือบริเวณศีรษะและไหล่ของเด็ก เนื่องจากสังเกตจากตุ๊กตาที่จับนอนลงไปในกระเป๋า และยิ่งมีการใช้ความเร็วหรือเข้าโค้งไม่ทันระวัง ก็จะทำให้กระเป๋าใบดังกล่าวกระทบโดนบังโคลนแรงมากขึ้น
ภายหลังการทดสอบ แม่ของเด็กวัย 1 ขวบ ซึ่งเป็นพี่สาวของแม่น้องที่ถูกลักพาตัว อนุญาตให้มีการทดสอบลองให้เอาเท้าของลูกใส่ลงไปในถุงผ้า โดยตัวขนาดของเด็กจะมีขนาดใหญ่กว่า แต่เพียงแค่ลงไปครึ่งตัวยังไม่ทันได้รวบกระเป๋า เด็กก็เริ่มส่งเสียงร้องไห้ขณะที่ถูกจับยัดลงไปในกระเป๋า
นอกจากนี้ นายพงศธร อายุ 28 ปี และนางสาวยุพารัตน์ อายุ 26 ปี พ่อแม่ของเด็กที่ถูกเจ๊นันลักตัวไป เปิดใจว่า วันนี้ตนเองออกจากโรงพยาบาลมาพักผ่อนอยู่ที่บ้าน แต่โดยกำหนดการเดิมจะได้กลับมาพักผ่อนพร้อมหน้าพร้อมตาพ่อแม่และลูก ซึ่งหลังเกิดเหตุการณ์ทำให้ลูกต้องอยู่พักรักษาตัวต่อ เนื่องจากระบบทางอาหาร ติดเชื้อ เพราะเกิดจากการป้อนนมหรือให้เด็กกินไม่ถูกสุขลักษณะ ประกอบกับเหตุการณ์ที่ถูกลักพาตัว คาดว่าอาจจะมีการได้รับบาดเจ็บที่ถูกยัดลงไปในถุงสีดำ จึงทำให้เบ้าตาซ้ายเกิดอาการบวมอักเสบ สมองบวม และตามตัวมีรอยฟกช้ำ จึงทำให้วันนี้ลูกยังต้องพักรักษาตัวต่อที่โรงพยาบาล และตนเองก็เข้าเยี่ยมได้บางเวลา
กรณีที่มีการควบคุมตัวผู้ต้องหาได้ แล้วมีการกล่าวอ้างเกี่ยวกับพฤติกรรมว่าเกิดจากความโกรธแค้นแล้ว ลักพาตัวผิดคน ส่วนตัวก็ยังไม่ได้ปักใจเชื่อทั้งหมด ซึ่งทุกอย่างก็ให้เป็นไปตามขั้นตอนของตำรวจ แต่ส่วนคำขอโทษที่ฝากมา ส่วนตัวมองว่าคำว่าขอโทษคงไม่เพียงพอ เพราะเหตุการณ์ครั้งนี้ ทำให้ตนเองอยู่ในอาการตกใจอย่างมาก และที่สำคัญหากตามตัวลูกไม่เจอก็ยังไม่รู้ชะตากรรมว่าจะเกิดอะไรขึ้นเหมือนกัน ส่วนเรื่องของแนวทางการเยียวยาของฝั่งคนก่อเหตุ เบื้องต้นก็ยังไม่ทราบและยังไม่ได้รับการติดต่อเช่นเดียวกัน
ขณะที่ระบบการรักษาความปลอดภัยหรือการป้องกันบุคคลภายนอกของทางโรงพยาบาล เบื้องต้นก็ยังไม่ได้รับคำชี้แจงหรือการตอบกลับอะไรมาจากทางโรงพยาบาล ซึ่งเข้าใจว่ารอทางด้านของผู้อำนวยการ ซึ่งก็ต้องรอคำชี้แจงหลังจากนี้ก่อนจึงจะตอบอะไรได้มากไปกว่านี้
ทั้งนี้ กรณีการก่อเหตุของเจ๊นัน ที่มีการอ้างว่าต้องการที่จะแก้แค้นเนื่องจากอดีตแฟนเก่าคือนายวา ทำให้เกิดความขุ่นใจ เพราะตีตัวออกห่างแล้วไปทำผู้หญิงท้อง นั้น ตัวของพ่อเด็ก ยืนยันกับทีมข่าวว่า ตนเองไม่รู้จักกับครอบครัวของเจ๊นัน และไม่รู้จักกับเจ้าตัว รวมถึงไม่รู้จักกับทางครอบครัวของเจ๊ และที่สำคัญตนเองก็ไม่ได้ชื่อนายวา ดังนั้นจึงเชื่อว่าเข้าใจผิดร้อยเปอร์เซ็นต์
ด้าน พล.ต.อ. สุรเชษฐ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เดินทางมาติดตามความคืบหน้าและประชุมทีมชุดคลี่คลายคดี และติดตามการสอบปากคำ ผู้ต้องหา “เจ๊นัน” กลับการก่อคดีลักพาตัวเด็กวัย 2 วัน เปิดเผยว่า การเดินทางมาในครั้งนี้ก็เพื่อที่จะติดตามสรุปการเร่งรัดคดีและการสอบปากคำเจ๊นัน รวมทั้งเส้นทางการเงินที่พบการเชื่อมโยงเกี่ยวข้องว่ามีการโอนเงินในวันที่น้องต่อหายตัวไป โดยเป็นจำนวนเงิน 60,000 บาท โดยมีการโอนครั้งละ 20,000 บาท ทั้งนี้แม้ว่าจะมีการสอบถามผู้ต้องหาโดยอ้างว่าเป็นเงินกองทุนแต่เจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่มีการปักใจเชื่อ ต้องตรวจสอบเส้นทางการเงินให้ชัดเจน เพราะมีการนำบัญชีจำนวนมากของเจ๊นันไปตรวจสอบแล้ว ซึ่งหากพบการเชื่อมโยงก็จะมีการรื้อคดีน้องต่อขึ้นมาใหม่ แม้ว่าแม่จะมีการให้การรับสารภาพไปแล้วก็ไม่มีผล เพราะเนื่องจากมีพยานหลักฐานใหม่
ส่วนกรณีที่ตัวของผู้ต้องหามีการให้ปากคำว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับแก๊งลักเด็ก แต่เป็นเรื่องของการก่อเหตุเพราะปมความแค้น ก็เป็นเพียงคำให้การของผู้ต้องหา ซึ่งทุกอย่างก็ต้องว่าไปตามพยานหลักฐาน โดยได้มีการสั่งให้ชุดสืบสวนและกองพิสูจน์หลักฐาน ได้มีการตรวจสอบข้อมูลในมือถือทั้งหมด ทั้งเรื่องของการโอนเงิน ทั้งเรื่องของรูปถ่ายของเด็ก ให้นำไปเชื่อมโยงความมีอยู่จริง และเทียบว่าเด็กเรานั้นยังมีชีวิตอยู่หรืออยู่ในสถานะใด เพื่อที่จะเชื่อมโยงว่าเกี่ยวข้องกับกระบวนการลักเด็ก แล้วส่งไปให้ใครหรือไม่
สำหรับความผิดของทางโรงพยาบาลว่าจะมีการปล่อยประละเลยหรือไม่นั้น เรื่องนี้ยังไม่ได้มีการพูดคุยกับทางผู้อำนวยการโรงพยาบาล ซึ่งในฐานความผิดก็คงเป็นเพียงแค่เรื่องของผิดวินัยหรือระเบียบราชการ แต่คงไม่มีความผิดทางอาญา แต่หลังจากนี้ก็ต้องมีการตรวจสอบก่อนว่าจะมีความผิดมากน้อยเพียงใด เพราะเกิดเหตุการณ์ขึ้นในโรงพยาบาล