วันที่ 15 ส.ค. 2566 ตำรวจ สภ.บางเลน จ.นครปฐม ควบคุมตัว “เจ๊นัน” หรือนายนันทจักรษ์ อายุ 43 ปี ผู้ต้องหาคดีลักเด็กทารกจาก รพ.บางเลน ออกมาพิมพ์ลายนิ้วมือเพื่อรับทราบข้อกล่าวหา ซึ่งระหว่างนั้นได้เดินผ่านนางลัดดาผู้เป็นแม่ ที่พยายามจะพูดคุยและกอดลูก โดยนางลัดดาได้ร้องไห้บอกให้ลูกทำตัวให้ดี อย่าดื้อกับเขาในเรือนจำเดี๋ยวเขาจะทำร้ายเอา ขณะที่เจ๊นันบอกกับแม่ว่า "อย่าลืมตามไปที่ศาล แล้วไปประกันตัวหนูด้วยนะ"
จากนั้นช่วงที่มีการนำตัวเจ๊นัน ขึ้นรถคุมขัง เจ้าตัวเปิดเผยว่า เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเกิดจากความเข้าใจผิด และตนเองสำนึกผิดแล้วที่ไปเอาลูกเขามา ส่วนเด็กที่มีลักษณะฟกช้ำหรือคล้ายถูกทำร้าย ยืนยันว่าไม่ได้มีการทำร้าย
ซึ่งหลังการคุมตัวขึ้นรถคุมขัง นางลัดดาได้ยืนคุยข้างรถย้ำกับลูกว่า “ฝากให้ดูแลตัวเองให้ดี อย่าดื้อกับเขาให้มาก” ก่อนที่รถคุมขังจะเคลื่อนออก แม่เดินเข้าไปหาในกลุ่มสื่อมวลชนกำลังจะให้สัมภาษณ์ แต่ปรากฏว่า แม่กรี๊ดและเกิดอาการช็อกคล้ายจะเป็นลม สื่อและรวมถึงตำรวจต้องพากันหิ้วปีกเข้าไปปฐมพยาบาลภายในโรงพัก
วันเดียวกัน ทีมข่าวได้รับข้อมูลซึ่งเป็นภาพภายในมือถือของเจ๊นัน ซึ่งนอกจากจะมีรูปเด็กๆ โดยเฉพาะรูปน้องต่อ ลูกของนางสาวนิ่มที่หายตัวไปก่อนหน้านี้ โดยมีการบันทึกเก็บเรื่องราวเอาไว้ทั้งภาพนิ่งปกติและแคปมาจากเพจข่าวต่างๆ
ขณะเดียวกัน มีข้อสังเกตว่า ในวันที่มีการลักพาตัวเด็กวัย 2 วัน ก็ยังมีการถ่ายภาพเอาไว้อีกหลายรูป ซึ่งในรูปดังกล่าวจะมีการใช้ผ้าห่มให้เด็ก แต่เบ้าตาฝั่งซ้ายจะมีลักษณะเขียวช้ำและปูดบวม
และที่สำคัญภายในมือถือของเจ้าตัว ได้มีการแคปหน้าเว็บไซต์พนันออนไลน์เอาไว้อีกหลายหน้า พร้อมทั้งมีสลิปการโอนเงิน และหน้าบัญชีธนาคาร เอาไว้ภายในมือถือสร้างเป็นอัลบั้มเอาไว้
โดยเจ๊นันได้พูดถึงเรื่องบัญชีต่างๆ ของตนเองว่า เป็นเพียงแค่ตัวเลขแต่ไม่มีเงินอยู่จริง เพราะตนเองไปเล่นลิงก์เว็บออนไลน์ และการเข้าร่วมกองทุนหลายกองทุน ตั้งแต่สมัยทำงานเป็นพนักงานบริษัท และการได้เงินเป็นการกรอกข้อมูลลิ้งก์ออนไลน์ แต่เงินไม่ได้มีการโอนเข้าบัญชี แล้วตนเองก็ไม่เคยได้เงิน จนถึงทุกวันนี้ก็มีแต่ตัวเลข และการที่ตนเองมีบัญชีหลายบัญชีนั้นก็เป็นเพราะเคยทำงานเป็นเซลล์ ประกอบกับเปิดเพื่อที่จะรอรับเงินจากลิ้งก์ออนไลน์
และแม้ว่าวันนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจจะมีการตรวจสอบบัญชีการเงินทั้ง 10 บัญชีของตนเอง ก็ไม่ได้มีความกังวลใจ สามารถให้ข้อมูลทางเลขบัญชีได้ รวมถึงข้อมูลอีเมล์ไปหมดแล้ว เจ้าหน้าที่สามารถตรวจสอบได้ทั้งหมด ว่าที่มาที่ไปเป็นอย่างไร พร้อมยืนยันอีกครั้งว่าตัวเลขที่มีการโอนตามที่ตำรวจระบุไม่ได้เกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของน้องต่อ หรือการไปลักพาตัวน้องวัย 2 วันมา ซึ่งทุกอย่างตนเองให้การกับตำรวจตรงตามข้อเท็จจริงไปหมดแล้ว และอยากขอให้สังคมให้โอกาส
ด้านนางลัดดา แม่ของเจ๊นัน เปิดใจว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตนเองยอมรับว่าลูกชทำผิดที่ไปเอาลูกเขามา แต่ตนเองและคนในบ้านไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องและไม่ได้ร่วมรู้เห็น เพราะถ้าหากดูจากกล้องวงจรปิดแล้วตนเองคือคนที่เข้าไปด่าลูกที่ไปเอาลูกเขามา จนกระทั่งมีการประกาศตามหาในเว็บไซต์ออนไลน์และในเฟซบุ๊ก โดยหลังจากที่ตนเองรู้ว่าคนในรูปนั้นคือลูกจึงไปเคาะประตูห้อง จนได้ยินเสียงเด็กร้อง ก็เลยหาวิธีที่จะเอาเด็กไปคืน แต่ตำรวจมาที่บ้านก่อน ซึ่งก็เป็นไปตามวงจรปิด ยืนยันว่าไม่ใช่แก๊งลักเด็ก
ส่วนที่ตำรวจกำลังมีการตรวจสอบบัญชีของลูกชาย ที่ทราบว่ามีการตรวจยึดบัญชีไปประมาณ 10 บัญชีนั้น ตนเองยังไม่ได้เห็นว่ามีบัญชีธนาคารอะไรบ้าง หรือมีตัวเลขเคลื่อนไหวอย่างไร เพราะหลังจากต้องสงสัย ตำรวจก็ยึดไปตรวจสอบเอง ยังไม่รู้ว่ามีตัวเลขค้างอยู่ในบัญชีแต่ละบัญชีเท่าไหร่ ซึ่งก็เชื่อว่าบัญชีทั้งหมดที่ลูกชายเปิดก็เพื่อที่จะเล่นลิงก์เว็ปออนไลน์ตามที่เจ้าตัวพูด แต่หากจะโยงว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของน้องต่อ หรือโยงว่ามีใครเป็นผู้สั่งอุ้มเด็ก 2 วัน จึงบอกว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะอย่าลืมว่าในวันที่น้องต่อหาย ลูกของตนเองก็ยังช่วยออกตามหาซึ่งก็ไม่ได้มีอะไรผิดแปลกไป
ขณะที่มาของเงินในบัญชี ตัวเองเข้าใจว่าก่อนหน้านี้เคยทำงานเป็นพนักงานบริษัท จึงมีเงินเดือนและส่งให้ตนเองใช้เดือนละ 3,000 - 5,000 บาท แต่ช่วงหลังหลังจากตกงานก็พยามหาช่องทางในการทำมาหากินจึงไปรู้จักกับเว็บออนไลน์และเว็บไซต์ลงทุน เจ้าตัวก็ไปเล่น ทั้งที่ก็มีญาติพี่น้องคอยเตือนแล้วระวังจะถูกหลอก แต่เจ้าตัวก็ไปเปิดบัญชีและก็เล่น จนบางครั้งมันหลุดปากบอกกับตนเองว่า "มันได้เงินจริงนะแม่" ตนเองเห็นว่าลูกชายได้เงินก็เลยไม่ได้สนใจอะไร คิดว่าก็คงจะเป็นอีกช่องทางที่เขาทำมาหากินของเขา
และก่อนหน้าลูกชายก็เคยอยู่กินกับนายวาอดีตแฟนเก่า ที่เคยคบหากันมานานกว่า 10 ปี แล้วทั้งคู่ก็ไม่ได้อยู่ที่บ้านหลังเดียวกันกับที่อยู่ปัจจุบัน มีการพากันไปอยู่ที่โรงงานพ่อสมัยนั้นลูกชายเป็นเซลส์ขายของให้กับบริษัท และตัวของนายวาก็เป็นเซลส์เหมือนกัน จึงทำให้ทั้งคู่ไปเปิดห้องเช่าอยู่อาศัยอยู่ข้างนอก จนกระทั่งวันที่เลิกรากัน ลูกชายก็กลับมาอยู่บ้านกับตนเอง และมีการเลิกรากันก่อนที่คดีของน้องต่อจะเกิดขึ้นด้วยซ้ำ แต่ทุกวันนี้ก็ไม่รู้ว่านายวาไปอยู่ที่ไหนแล้ว เพราะไม่ได้ถามลูก เพราะหลังจากเลิกราก็กลับมาอยู่บ้านรักษาโรคซึมเศร้า ไม่พูดคุยหรือสุงสิงกับใครเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง จนกระทั่งมารู้ภายหลังว่ามีการเสพยาบ้า แล้วก็กินเหล้าผสม จนไปก่อเหตุดังกล่าว
ทีมข่าวตรวจสอบเฟซบุ๊กของเจ๊นัน พบว่า เจ้าตัวมีการเปิดบัญชีหลายยูสเซอร์ โดยมีการใช้ชื่อนามสกุลจริง แต่สังเกตว่ามี 1 เฟซ มีการใช้ชื่อเป็นภาษาไทยแต่ใช้ภาพโปรไฟล์เป็นรูปเด็ก และยังมีการโพสต์เกี่ยวกับการเล่นคริปโตฯ พร้อมระบุข้อความ ว่า “ช่วยด้วยค่ะลิงค์เงินเข้าบัญชีไม่เป็น ต้องการใช้เงินด่วน”
แล้วเจ้าตัวยังมีการโพสต์ข้อความเป็นภาษาอังกฤษ และมีการแนบบัตรประจำตัวประชาชน ซึ่งมีเลข 13 หลัก พร้อมทั้งใบหน้าลงไปในโซเชียล ซึ่งมีเนื้อหาแปลความหมายทำนองว่า “ ไหนล่ะลิงก์เว็บของคุณ คุณไม่โอนเงินมา ฉันก็ไม่มีเงินก้อนสุดท้ายที่จะจัดงานศพให้กับแม่ มันเป็นเหตุการณ์ที่น่าเสียใจมาก”
นอกจากนี้ ทีมข่าวได้คุยกับนายขวด (นามสมมติ) ชาวบ้านในพื้นที่ เปิดใจกับทีมข่าวช่อง 8 ว่า ก่อนหน้านี้ตัวของเจ๊นันเคยทำงานบริษัทจนกระทั่งถูกไล่ออก จากนั้นก็ได้ไปทำธุรกิจส่วนตัวซึ่งก็เป็นช่วงที่มีเงิน จนช่วงหลังมีการเลิกรากับนายวา จึงทำให้ชีวิตเริ่มที่จะเคว้งคว้าง ประกอบกับเริ่มมีปัญหาเกี่ยวกับการเงินเพิ่มขึ้น
และเมื่อช่วงปลายปี 2565 เจ้าตัวขับรถเก๋งอยู่ในอาการมึนเมา ไปชนกับชาวบ้านที่กำลังตัดหญ้าอยู่ข้างถนน ซึ่งเป็นเส้นทางก่อนถึงบ้านเจ้าตัว รถสภาพเสียหายยับ และตัวของคนเจ็บก็ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล และทราบว่าตัวของคนเจ็บได้มีการเรียกค่าเสียหายมูลค่าหลายแสน แต่เจ้าตัวก็อ้างว่ามีประกันชั้นหนึ่ง โยนไปให้ประกันเป็นคนรับผิดชอบ ส่วนรถประกันก็รับผิดชอบและยอมซ่อมให้ แต่เจ้าตัวไม่มีเงินผ่อนจ่าย จึงพยายามไปกู้หนี้นอกระบบ และรวมถึงเอารถไปจำนองเพื่อหาเงินมาจ่ายให้กับผู้เสียหาย รวมทั้งใช้หมุนเวียน แต่เงินก็ขัดสนไม่พอใช้
จนกระทั่งเป็นช่วงรอยต่อเมื่อต้นปี 2566 ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ มีเหตุการณ์น้องต่อหายตัวไป จึงถูกชาวบ้านและคนอื่นตั้งข้อสังเกตว่าอาจมีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่ เพราะเนื่องจากเจ้าตัวมีปัญหาการเงินในช่วงดังกล่าว ประกอบกับล่าสุดตำรวจมีการเชื่อมโยงเกี่ยวกับเงินในบัญชี จึงทำให้ประเด็นนี้ค่อนข้างน่าสงสัย แต่รายละเอียดอื่นตนเองอาจจะให้มากไม่ได้ เพราะถือว่าเป็นคนในพื้นพี่ กลัวจะกลายเป็นการปรักปรำ
ขณะที่นายวัชรินทร์ หรือหนึ่ง อายุ 39 ปี คนเจ็บ เผยว่า เมื่อปีก่อน ตนกำลังตัดหญ้าอยู่ข้างถนนซึ่งไม่ได้กีดขวางการจราจร แต่เข้าใจว่าวันนั้นเจ๊นันอาจจะอยู่ในอาการเมา ขับรถพุ่งชนตนเองกระเด็น และรถไปหยุดห่างจากจุดที่ชนพอสมควร จากนั้นภรรยาและเพื่อนร่วมงานก็วิ่งไปดู แต่ตัวของเจ๊นันไม่ได้ลงจากรถ จนกระทั่งไปตกลงกันที่โรงพัก ซึ่งเจ้าตัวโยนให้ประกันรับผิดชอบ ทั้งค่ารถและค่าเสียหายรวมทั้งค่ารักษาพยาบาล แต่เจ้าตัวก็ตกลงว่าจะเอาเงินจำนวน 20,000 บาทมาให้ สุดท้ายมีการจ่ายเพียงแค่ 2,000 บาทที่โรงพัก อ้างว่าเป็นค่าขนมเด็ก แล้วนัดหมายจะมาเจอกันในช่วง 1-2 วันนี้ แต่ปรากฏว่าถูกจับในคดีอุ้มเด็กก่อน
นายวัชรินทร์ บอกอีกว่า แม้จะถึงกำหนดการนัดหมายเพื่อที่จะให้เจ๊นันนำเงินมาจ่าย แต่ส่วนตัวก็ไม่ได้มีการเร่งรัด เพราะที่ผ่านมาก็ให้เวลาเจ๊ในการหาเงิน เข้าใจว่าเงินในช่วงนี้หายาก แต่ก่อนหน้าที่จะมีการนัดหมายครั้งนี้ ตนเองเคยบุกไปที่บ้านเพื่อไปทวงเงินด้วยตนเอง จนเป็นที่มาของการต้องนัดไกล่เกลี่ยกันผ่านพนักงานสอบสวน แล้ววันนี้เข้าใจว่าภายหลังที่เจ้าตัวถูกจับก็คงเป็นไปได้ยากสำหรับเงินก้อนดังกล่าว จึงต้องหาเงินเพื่อที่จะเดินทางไปเอกซเรย์แล้วก็ดูแลรักษาตัวเองต่อไป
ด้านนางสาวนิ่ม แม่ของน้องต่อ ซึ่งหายตัวไปปริศนาเมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา วันนี้ที่บ้านปิดเงียบ เจ้าตัวไม่ขอพูดอะไร อ้างว่าติดงาน และให้ข้อมูล สั้นๆ ว่า ตนเองไม่ได้ติดใจกรณีการจับกุมเจ๊นัน เพราะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีการหายตัวของน้องต่อ เมื่อวานนี้ตนเองไปแจ้งความยืนยันแล้วว่าไม่ใช่เรื่องเดียวกัน และไม่ได้ติดใจอะไร เพราะทั้งหมดที่ให้การว่าตนเองเป็นคนพลั้งมือแล้วทำลูกตก จนกระทั่งนำไปทิ้งลงน้ำ ทุกอย่างคือความจริงและเป็นไปตามนั้น ส่วนเรื่องของการโอนเงินก็ย้ำคำเดิมว่ามีการมาซื้อของที่ร้านของปู่น้องต่อ ไม่เกี่ยวกับเงินโอนที่ถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับคดีอุ้มเด็กแต่อย่างใด