"จตุพร" ฟันธง "เศรษฐา" ชวดนายกฯ จับตาเพื่อไทยเปิดตัวจับมือ "พปชร.-รทสช." วันใด หายนะอารมณ์โกรธแค้น ชิงชังถาโถมเข้าใส่ จนแทบสูญสิ้นการเมือง เฉ่งหักหลัง ทรยศ ปชช. ยังทำปากอวดดีอีก
เมื่อ 16 ส.ค. 2566 นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊คไลฟ์รายการประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน "ตามกรรม!!" โดยมั่นใจว่า นายเศรษฐา ทวีสิน ไม่มีวันได้เป็นนายกฯ แน่นอน เพราะ สว.ไม่โหวตเสียงให้ ซ้ำร้ายเมื่อจับมือข้ามขั้วกับพรรค 2 ลุง ยิ่งไม่เหลือประชาชนคอยปกป้องคุ้มกัน แล้วหายนะจะโหมถล่มจนแทบสูญสิ้นทางการเมือง
นายจตุพร กล่าวว่า นายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เปรียบการตั้งรัฐบาลของเพื่อไทยว่า มีความเจ็บปวดเหมือนทารกแรกเกิดจากครรภ์มารดา แต่ความจริงแล้วควรอธิบายว่า เจ็บปวดเหมือนคนแก่กำลังเข้าโรงมากกว่า เพราะทารกแรกเกิดจะมีชีวิตใหม่ และตรงกันข้ามกับความหายนะที่ได้อำนาจด้วยการตระบัดสัตย์ กลับกลอกต่อผู้สนับสนุนมากมาย ดังนั้น อย่ามาทำอวดดีเป็นคนเสียสละ
อีกอย่าง ระบุว่า ในบรรดา 8 พรรค MOU จับมือตั้งรัฐบาลที่ผ่านมานั้น เพื่อไทยต่อต้านพรรคภูมิใจไทยไม่ให้เข้าร่วมรัฐบาลเด็ดขาด หลังจากฉีก MOU แล้ว ภูมิใจไทยเป็นพรรคแรกที่เพื่อไทยเชิญมาเจรจาเข้าร่วมรัฐบาลด้วย จึงเป็นวิธีการที่บัดซบและน่าละอายกับความไม่ซื่อตรงต่อมิตรอย่างยิ่ง
นายจตุพร เสนอต่อนายเศรษฐา แคนดิเดตนายกฯ เพื่อไทย ว่า ต้องพิสูจน์ข้อกล่าวหาที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ นำมาเปิดโปง โดยใช้ข้อเท็จจริงมาเปิดเผยเป็นข้อๆ อย่าชี้แจงเหมารวม เพราะถ้ายังเก็บเงียบแล้วเมื่อเข้าสู่การอภิปรายในสภาจะถูกตรวจสอบอย่างเข้มข้นถึงคุณสมบัติความซื่อสัตย์ สุจริต จริยธรรมนักการเมือง รวมทั้งคำประกาศจะแก้ ม.112 เมื่อช่วงหาเสียงเลือกตั้ง สว.ก็คงไม่ละเว้น
ส่วนนายเศรษฐา ในฐานะผู้บริหารสูงสุดไม่รู้รายละเอียดการตั้งบริษัทนอมินีมากู้เงินหรือไม่นั้น
นายจตุพร กล่าวว่า เงินกู้ 1,000 ล้านบาทออกจากบริษัทต้องตรวจสอบปูมหลังของบริษัทที่ยื่นขอกู้ด้วย แต่ที่สำคัญกว่านั้น ผู้ขอกู้มีอาชีพแม่บ้านและยามรักษาความปลอดภัยกลับไม่รู้เรื่องเลย จึงสะท้อนถึงการนำชื่อมาสวมรอยจดทะเบียนตั้งบริษัท จากนั้นก็อ้อมไปซื้อหุ้น ดังนั้น นายเศรษฐา จะบอกว่า ไม่รู้คงไม่ได้เสียแล้ว
"สิ่งที่นายเศรษฐา ต้องชี้แจงคือ หลักในการปล่อยเงินกู้จากบริษัทแม่ให้บริษัทลูก และมาบริษัทนอมินี แล้วย้อนวนมาซื้อ (ที่ดิน) กลับอีกทอดหนึ่ง จึงเกิดสงสัยว่า ทำไมบริษัทแม่จึงไม่ซื่อตรง และทำไมต้องใช้บริษัทจดทะเบียนที่เจ้าตัวคนกู้เงินไม่รู้เรื่องด้วย ไม่เกี่ยวข้อง ซึ่งนายเศรษฐา จึงจำเป็นต้องชี้แจงเรียงข้อให้ชัดเจนก่อนถึงวันโหวตนายกฯ 22 ส.ค.นี้"
นอกจากนี้ ในการโหวตนายกฯ วันที่ 22 ส.ค.นี้ นายจตุพร มั่นใจว่า นายเศรษฐา จะไม่ได้เสียงสนับสนุนถึง 375 เสียง คือเกินครึ่งของรัฐสภา แม้เพื่อไทยมั่นใจได้เสียงสนับสนุนเกินแล้ว แต่ตนยืนยันว่า นายเศรษฐา จะไม่ได้เป็นนายกฯ อย่างแน่นอน
อีกทั้ง กล่าวว่า จากนี้ต้องจับตาเพื่อไทยจะส่งเทียบเชิญพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กับพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) มาร่วมรัฐบาลจะเกิดขึ้นในวันไหน เพราะจะเป็นวันเริ่มหายนะของเพื่อไทยอย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม แม้ทั้งสองพรรคนี้จะออกเสียงโหวตนายกฯ ให้นายเศรษฐา ก็ตาม แต่ สว.จะไม่โหวตให้อยู่ดี
นายจตุพร กล่าวว่า คนเสื้อแดงที่ร่วมต่อสู้ ร่วมเป็นร่วมตาย ไม่เคยสำแดงตนว่าอยากจะได้อะไรจากเพื่อไทยเลย ซึ่งเป็นประชาชนของจริงจำนวนมาก และจะระบาดขึ้นด้วยอารมณ์สั่งสม ชิงชัง ดังนั้น ที่ผ่านมา เพื่อไทยจำเป็นทอดเวลาตกลงร่วมรัฐบาลกับ พปชร. และ รทสช. เอาไว้ เพียงยับยั้งอารมณ์โกรธของประชาชนไว้ชั่วขณะหนึ่งก่อน
อีกทั้งกล่าวว่า เมื่อ 22 ส.ค. หากไม่ได้นายกฯ แล้ว การนัดวันโหวตครั้งใหม่ ในขณะที่อารมณ์ของผู้คนที่เห็นเพื่อไทยไปจับมือกับ พปชร.และ รทสช. จะเป็นเรื่องใหญ่มาก และจะมีการกดดันไปถึง นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรค และจะเกิดข้อเรียกร้องลุกลามไปมากขึ้น ขณะที่พรรค 2 ลุงวันนี้อยู่แบบสบายๆ ไม่หนักใจเหมือนเพื่อไทย ดังนั้น การสูญเสียอารมณ์ความรู้สึกของประชาชนเท่ากับเสียการเมือง ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่
"ยิ่งเพื่อไทยไม่ได้นายกฯ อีกทั้งประชาชนสนับสนุนมาหมดไป ชีวิตก็เข้าสู่บัดซบ แล้วคนเป็นหัวหน้ายังกลายมาเป็นสมุน สิ่งที่คิดว่าจะได้ก็ไม่ได้ แล้วจะเสียมากกว่านี้ เนื่องจากไปกระทำการไม่ซื่อตรงกับประชาชน จึงจะหาความเจริญไม่ได้”
นายจตุพร ย้ำว่า นักการเมืองที่คิดไม่ซื่อตรงกับประชาชนจะเป็นยิ่งกว่าเป็นทรราช ยิ่งกล้าทรยศหักหลังความไว้เนื้อเชื่อใจของประชาชน และยังกล้าตระบัดสัตย์ ย่อมมีจุดจบแบบน่าสมเพชเวทนา แล้วจะสูญเสียยิ่งกว่าที่คิดไว้เสียอีก
พร้อมระบุว่า อีกฝ่ายไม่กลัวกลไกของเพื่อไทยเลย แต่สิ่งที่เขากลัวคือ ประชาชนยืนเป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็ก แต่วันนี้เพื่อไทยกลับมากวาดทิ้งประชาชนจนเรียบ แล้วไม่เหลืออะไรเลย แต่กลับทำอวดเก่งอยู่ ดังนั้น วันที่ 22 ส.ค.นี้ ขอฟันธงล่วงหน้าว่า นายเศรษฐา ไม่มีวันได้เป็นนายกฯ
ส่วนข่าวทักษิณ ชินวัตร จะกลับบ้านวันที่ 21-22 ส.ค.นั้น นายจตุพร ประเมินว่า ไม่มีข้อเท็จจริง เป็นแค่ข่าวจงใจปล่อยออกมา ขนาดอุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวพูดเองยังเชื่อไม่ได้่เลย อีกอย่างถ้าต้องการกลับบ้านแล้ว ทักษิณ จะมาวันไหนก็ได้ ทำไมต้องเป็น 21-22 ส.ค. ด้วย
"อยากให้ทักษิณ กลับมา จะได้มาปิดบัญชีกันในประเทศไทย เราจะได้คิดเรื่องอื่นของบ้านเมืองต่อไป แต่ถ้าพิจารณาสถานการณ์ทางการเมืองแล้ว ในช่วงเวลาที่ปล่อยข่าวออกมาจะกลับบ้านนั้น หาความเป็นไปได้แทบไม่มี"
ประเทศไทยต้องมาก่อน