น้องพลอย เปิดใจถึง พี่กบ หัวหน้างาน "อยากให้พี่เห็นใจลูกน้องบ้าง" ตั้งแต่แม่เสียชีวิต คำขอโทษยังไม่เคยได้ยิน

จากกรณีหัวหน้างานชื่อ พี่กบ ให้ลูกน้องมาเขียนใบลาออกหลังลางานขอไปดูแลแม่ที่ป่วยหนักจนเสียชีวิต โดย น้องพลอย กลับไปหาแม่วาระสุดท้ายไม่ทัน ต้องวิดีโอคอลเห็นแม่จากไปคาโทรศัพท์

17 ส.ค. 66 ล่าสุดทีมข่าวช่อง 8 ได้เดินทางไปที่วัดไตรภูวนาราม อ.เมืองบุรีรัมย์ สถานที่ตั้งบำเพ็ญกุศลศพของนางปราณี อายุ 64 ปี แม่ของนางสาวกชกร หรือ น้องพลอย อายุ 25 ปี พนักงานโรงแรมที่ถูกสั่งให้มาเขียนใบลาออก

โดยวันนี้น้องพลอย เปิดใจว่า แม่ของตนเองนั้นป่วยด้วยโรคมะเร็งมาได้สักพักนึงแล้ว โดยตนเองถึงแม้จะทำงานอยู่ไกลบ้าน ซึ่งอยู่ จ.บุรีรัมย์ แต่ก็ต้องแวะมาเยี่ยมและมาเฝ้าคุณแม่อยู่ตลอด ซึ่งระหว่างการทำงานตนเองได้แจ้ง “พี่กบ” ซึ่งเป็นผู้จัดการฝ่ายสปาและฝ่ายสันทนาการเด็กของโรงแรม หัวหน้างานของตนเองให้รับรู้มาโดยตลอด ว่า แม่ตนเองได้ป่วยเป็นโรคมะเร็ง และแม่อาจจะอยู่ได้อีกไม่นาน หากในอนาคตจะต้องลาขอไปเฝ้าดูอาการของคุณแม่ หรือ ลาไปดูใจแม่ครั้งสุดท้าย จะขอใช้สิทธิแต่จะแจ้งล่วงหน้าก่อน ซึ่งหัวหน้ากบก็รับรู้มาตลอด

กระทั่งวันที่ 16 สิงหาคม ช่วงเช้าตนเองซึ่งเป็นวันที่ตนเองจะต้องไปทำงาน ทางบ้านได้โทรศัพท์มาบอกว่าคุณแม่อาการไม่ดี และน่าจะเสียชีวิตไม่วันนี้ก็พรุ่งนี้ให้ตนเองรีบกลับมาดูใจคุณแม่เป็นครั้งสุดท้าย

ตนเองด้วยความเป็นห่วงแม่ และอยากอยู่กับแม่ก่อนที่แม่จะหมดลมหายใจไป จึงได้ส่งข้อความพิมพ์ไปตามที่โพสต์เพื่อขอลางานกับหัวหน้ากบ แต่เมื่อส่งไปขอ หัวหน้ากบกลับไม่อนุญาตให้ตนเองลา โดยพิมพ์บอกว่า “ไม่ได้ค่ะ” ตอนนั้นยอมรับว่าตนเองตกใจและงงมากที่หัวหน้าไม่ยอมให้ลา เพราะแม่ของตนเองกำลังจะตาย นอนอยู่โรงพยาบาลแล้ว

ตอนนั้นไม่รู้จำยังไง รอคำตอบจากหัวหน้ากบ แต่ก็ไม่ได้คำตอบ ทำให้ตนเองต้องจำใจกลับไปทำงาน ซึ่งตอนนั้นยอมรับว่า ไม่มีใจที่อยากจะทำแล้ว เพราะแม่กำลังจะเสียชีวิต

กระทั่งเวลาประมาณ 6 โมงเย็น ตนเองได้ส่งข้อความหาหัวหน้ากบอีกรอบ พร้อมถ่ายรูปคุณแม่ที่กำลังนอนหมดลมหายใจ พร้อมบอกว่า “พี่กบ แม่พลอยไม่น่าจะรอดคืนนี้หรอกพี่” เจตนาเพื่อจะขอกลับไปดูใจแม่ครั้งสุดท้าย

แต่หัวหน้ากบ ก็กลับไม่สนใจ และไม่ให้การช่วยเหลือ แถมได้ตอบกลับตนเองว่า “พี่บอกพลอยไปแล้วค่ะ ว่ายังไงก็ต้องกลับมาทำงานก่อน”

จากนั้นครอบครัวได้วิดีโอคอลมาหาตนเองพร้อมกับให้ตนเองพูดคุยกับแม่ก่อนจะหมดลมหายใจผ่านโทรศัพท์เพราะแม่จะเสียชีวิตแล้ว ทำให้ตนเองต้องวิดีโอคอลดูแม่จากไปผ่านโทรศัพท์มือถือ ซึ่งตนเองเสียใจมาก ที่ไม่ได้กลับไปอยู่ข้างๆแม่ก่อนแม่จะจากไป ซึ่งหากหัวหน้ากบใจดีกับตนเองมากกว่านี้ ให้ตนเองลาหยุดได้อีก 1 วัน ตนเองคงจะได้กลับไปอยู่ข้างแม่ก่อนแม่จะเสียชีวิตไปแล้ว

ยังไม่พอเมื่อตนเองส่งข้อความไปบอกหัวหน้ากบว่า ตอนนี้แม่ได้เสียชีวิตแล้ว และขอกลับบ้านด่วน หัวหน้ากบกลับไม่มีแม้แต่กำลังใจที่จะให้ และได้ถามกลับตนเองว่า “จะลาออกใช่มั้ยคะ” “เสร็จธุระแล้วก็มาเขียนใบลาออกค่ะ” ทำให้ตนเองเสียความรู้สึกและพูดไม่ออก ไม่คิดว่า หัวหน้าที่ตนเองทำงานให้จะใช้คำพูดแบบนี้ ตอนนั้นยอมรับว่า ทั้งเสียใจและโมโห จึงได้ขอลาออก โดยตอบกลับหัวหน้ากบว่า “ได้ค่ะ” ก่อนที่ตนเองจะรีบเดินทางกลับมาหาแม่ทันทีที่ จ.บุรีรัมย์ ซึ่งระยะทางจากปากช่อง ถึง จ.บุรีรัมย์ ตนเองต้องทั้งขี่มอเตอร์ไซค์ ต่อรถตู้ ต่อรถไฟ เพื่อนั่งกลับมาหาแม่ ซึ่งแม่ตนเองเสียชีวิตเวลา 6 โมงเย็น แต่ตนเองกว่าจะกลับถึงบ้าน เวลาตี 3 ซึ่งแม่ของตนเองก็ไม่มีชีวิตอยู่แล้ว

โดยตนเองอยากฝากถึงเพื่อนพนักงานที่ตกอยู่ในสภาวะเดียวกันกับตนเองทุกคน ซึ่งตนเองเชื่อว่ามีอีกมากที่หัวหน้าหรือเจ้านายก็ทำแบบเดียวกับตนเอง ไม่เห็นใจและไม่เคยช่วยเหลือลูกน้อง อยากให้เพื่อนพนักงานออกมาต่อสู้เพื่อรักษาสิทธิ ไม่อยากให้ยอมหัวหน้าแบบตนเอง ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ตนเองทำงานที่โรงแรมดังกล่าวเกือบ 1 ปี ตนเองไม่เคยใช้วันลากิจเลยสักครั้ง ตั้งใจทำงานตลอด ซึ่งตนเองก็ยังไม่เข้าใจจนถึงตอนนี้ว่า ทำไมหัวหน้ากบถึงไม่ยอมให้ตนเองลาไปหาแม่ในวาระสุดท้ายของแม่

และสุดท้ายตนเองอยากฝากถึงพี่กบหัวหน้างานว่า "อยากให้พี่ใจดีกว่านี้ เห็นใจลูกน้องมากกว่านี้ เพราะว่าเหตุการณ์แบบนี้ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น อยากให้พี่กบเข้าใจว่า ทุกคนมีแม่แค่คนเดียว"

ทีมข่าวถามต่อจนถึงตอนนี้หัวหน้ากบได้ติดต่อมาขอโทรหรือโทรศัพท์มาแสดงความเสียใจบ้างหรือไม่ ยืนยันว่า ตนเองยังไม่ได้รับคำขอโทษใดๆจากหัวหน้ากบ แต่งานศพของแม่วันนี้ ได้มีผู้จัดการโรงแรม และตัวแทนผู้บริหารมาขอแสดงความเสียใจและมาขอโทษกับเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว โดยโรงแรมแจ้งว่า ได้พักงานหัวหน้ากบแบบไม่มีกำหนดแล้ว เพื่อรอตรวจสอบ ส่วนตนเองสามารถกลับมาทำงานได้ตามปกติ แต่ตนเองยังขอตัดสินใจก่อนว่าจะกลับไปทำงานที่โรงแรมนี้หรือไม่ เนื่องจาก กลัวว่าจะเจอหัวหน้ากบคนเดิม ซึ่งตอนนี้ยังไม่ได้ตัดสินใจ และยืนยันว่า เจตนาที่โพสต์ลงโซเชียล ตนเองไม่มีเจตนาจะทำให้โรงแรมเสื่อมเสียชื่อเสียงและขออย่าให้สังคมโจมตีโรงแรมว่าไม่ดี เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นตนเองคิดว่า เกิดจากบุคคลเพียงคนเดียว