คณะราษฎรไทยแห่งชาติ (ครช.) ได้ยื่นหนังสือถึง “นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์” ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ให้ใช้อำนาจสั่งย้ายรูปปั้นครูกายแก้วออกจากพื้นที่ชุมชน
โดยนายพลภาขุน เศรษฐญาบดี ตัวแทนผู้ประสานงาน ครช. ระบุว่า คณะราษฎรไทยแห่งชาติได้ทำหนังสือยื่นร้องเรียนต่อผู้ว่า กทม. ในวันที่ 16 ส.ค. ที่ผ่านมา ในเรื่องข้อร้องเรียนกรณีมีกลุ่มลัทธิประหลาดได้นำรูปปั้นน่ากลัวมาตั้งในชุมชน จึงเห็นว่าการนำปั้นดังกล่าว มาตั้งในย่านชุมชนนั้นไม่สมควร และขัดแย้งต่อวัฒนธรรมอันดีของท้องถิ่น และยังส่งผลกระทบอย่างกว้างขวาง มีการวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมอย่างมาก ทั้งด้านศาสนาและความเชื่อ ซึ่งทางครช. เห็นว่า การกระทำดังกล่าวมีความมุ่งหวัง หาประโยชน์จากการบูชาหรือทำพิธีกรรม ณ ที่ดังกล่าว จะเป็นการมอมเมาพลเมืองหรือไม่
จึงอยากให้ใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.ฯ สั่งย้ายวัตถุคล้ายอสูร ออกจากพื้นที่ชุมชนที่เห็นว่า เป็นการมอมเมาให้ประชาชนผู้ขาดสติ แยกแยะไปกราบไหว้บูชา โดยวัตถุดังกล่าวมีสภาพบ่งบอกชัดเจนว่าเป็นอสูรไม่ใช่ฝ่ายดี ไม่ใช่ฝ่ายเทวดาไม่ใช่พระพุทธรูป สร้างความหวาดกลัวที่จะก่อให้เกิดภัยพิบัติ เพราะเป็นที่ทราบดีว่าวิญญาณร้ายอาจมาสิงและเป็นผลร้ายได้ และสำคัญขัดต่อวัฒนธรรมความเชื่ออันดีของท้องถิ่น ที่นี่ประเทศไทย ไม่ใช่ เมืองที่บูชาผีหรือลัทธิปีศาจ
ขณะที่ “ลีน่าจัง” ได้ไลฟ์สดก็มีการพูดถึงเรื่องครูกายแก้วเช่นกัน ในกรณีที่มีชาวเน็ตกล่าวถึงการบูชายัญหมาแมว ที่เคยเป็นเรื่องวิพากษ์วิจารณ์ก่อนหน้านี้ว่า สำหรับตนมองว่า ครูกายแก้วก็คือรูปปั้น ที่ปั้นขึ้นมาในการบูชาเท่านั้น ถ้าใครบูชาแล้วมีความสุขก็ทำได้ แต่ก็ไม่ควรใช้หมาแมวมาบูชายัญ เพราะมีความผิดและเป็นการทรมานสัตว์
ทีมข่าวสอบถามคุณจิลล์ จักรพงศ์ การสมพรต ซึ่งเป็นอีกหนึ่งคนที่มีความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ มองว่า ส่วนตัวไม่เชื่อเรื่องครูกายแก้ว เพราะไม่มีตัวตนอยู่จริง ซึ่งกระแสทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับครูกายแก้วนี้แม้ว่าเป็นกระแสลบ แต่ส่วนตัวมองว่า คือ หลักการตลาดล้วนๆ เป็นการตีข่าวทำให้ดัง แม้ว่าจะเป็นข่าวทางลบแต่ก็ทำให้คนรู้จักครูกายแก้วมากขึ้น
ที่สำคัญพื้นที่ที่ตั้งครูกายแก้วกลางสี่แยกรัชดาลาดพร้าว ในอนาคตหากการตลาดเชิงลบนี้สำเร็จ จะทำให้เป็นแลนด์มาร์กสำคัญของนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะชาวต่างชาติซึ่งไม่ได้สนใจในที่มาของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่หวังเพียงมาแค่ถ่ายรูปกับแลนด์มาร์กสำคัญของประเทศไทย
เท่าที่ทำการศึกษามา ครูกายแก้วไม่มีอยู่จริงแต่เป็นการเชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์ของประเทศกัมพูชา แต่การที่จะนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีตัวตนอยู่จริงซึ่งอุปโลกน์ขึ้นมาก็ไม่ใช่เรื่องผิด เพราะพี่นวลของคุณจิลเองก็เป็นผีที่อุปโลกน์ขึ้นมาเหมือนกัน เพียงอาศัยความเชื่อ คนไหนเชื่อก็เชื่อคนไหนไม่เชื่อก็ไม่เชื่อ แต่ที่ทำให้กลายเป็นประเด็นโด่งดังในขณะนี้ เป็นเพราะว่ารูปลักษณ์ของครูกายแก้วน่ากลัว ส่วนตัวมองว่าเป็นปีศาจซึ่งดูแล้วน่ากลัวกว่าผี แต่พี่นวลก็เป็นผี แต่สร้างภาพลักษณ์ออกมาให้ไม่น่ากลัว ก็จะทำให้เกิดความแตกต่างตรงนี้
คุณจิล วิเคราะห์ว่า หลังจากนี้ครูกายแก้วจะยังคงอยู่ต่อไป ซึ่งคนที่ไม่เชื่อก็จะค่อยจางหายไปเอง ส่วนคนที่เชื่อก็ยังคงเชื่อต่อไป และก็จะเป็นที่เคารพบูชาของคนที่เชื่อ
นอกจากนี้ ทีมข่าวช่อง 8 ได้สอบถามทนายเกิดผล แก้วเกิด ถึงเรื่องดังกล่าว ระบุว่า ในทางกฎหมายนั้น ตามที่มีคณะบุคคลที่เรียกตนเองว่า เป็นคณะราษฎรไทยแห่งชาติ มีหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงเทพมหานคร ให้มีคำสั่งย้ายรูปปั้น ครูกายแก้วออกจากที่ตั้ง ให้ไปเก็บหรือทำลาย โดยอาศัยอำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงเทพมหานคร และรัฐธรรมนูญ ในส่วนนี้สำหรับตนมองว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดไม่มีอำนาจสั่งการทำลายหรือย้ายครูกายแก้ว เพราะว่าเหตุผลที่คณะบุคคลนี้กล่าวอ้างถึงสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ และอ้างว่าครูกายแก้วเป็นมาร ไม่ใช่เทพ และเทวดา สร้างความหวาดกลัว ทำลายวัฒนธรรม เป็นความรู้สึกของกลุ่มนี้กลุ่มเดียว แต่ยังมีอีกกลุ่มที่ยังมีความเชื่อและเป็นความเชื่อที่ไม่ได้ทำร้ายใคร ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน
เหตุที่ไม่ได้ทำให้ใครเดือนร้อน เพราะสถานที่ตั้งครูกายแก้วนั้นเป็นสถานที่เอกชน ไม่ใช่สถานที่สาธารณะ ซึ่งเป็นของคนอื่นหรือสมบัติของประชาชนทั่วไปใช้ร่วมกัน
ดังนั้นที่ตั้งเป็นเอกชนนั้น คือ โรงแรม เพราะฉะนั้นเจ้าของสถานที่ย่อมมีสิทธิ์ที่จะนำสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรูปปั้นเทพเทวดา นรกภูมิหรือสวรรค์ก็ได้ ที่ไม่ทำให้ใครเดือนร้อน ตามวิหารหรือศาสนต่างๆ ก็ยังมีรูปภาพนรกหรือเปรตเช่นกัน ทำไมไม่ต่อต้านกัน ซึ่งถ้าจะมองแบบนั้น สิ่งเหล่านั้นก็ไม่ใช่เทวดา เป็นเปรต เป็นวิญญาณ เพราะฉะนั้นเป็นการเลือกปฏิบัติมากกว่า เป็นการเอาความรู้สึกจากคนกลุ่มหนึ่ง มาเลือกปฏิบัติกับอีกกลุ่มหนึ่ง
ดังนั้นตราบใดที่ ผู้บริหาร เจ้าของสถานที่ หรือเจ้าของทรัพย์สินของครูกายแก้ว ไม่ได้มาสร้างความเดือดร้อน ไม่ได้มาทำลายให้ใครเกิดความเสียหาย ก็ไม่ได้ทำผิดกฎหมาย ถือว่ายังไม่ผิดกฎหมาย ผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงเทพมหานครย่อมไม่มีอำนาจไปสั่งการ ในเมื่อไม่ได้ผิดกฎหมาย และไม่ได้เป็นการทำลายวัฒนธรรม เป็นแค่ความเข้าใจและความรู้สึกของคณะนี้คณะเดียวเท่านั้น