นับ1 ปรองดอง! "วันชัย" หนุนเต็มที่ รัฐบาลสลายขั้ว อวยยิ่งกว่าแผนปฏิรูป ไม่ติดใจ "เศรษฐา" ถูกกล่าวหา บอกยังบริสุทธิ์อยู่ถ้าไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุด ชี้ดีหรือไม่ผลงานเป็นเครื่องพิสูจน์ หวัง 11 พรรครัฐบาลเป็นจุดเริ่มต้นสร้างความปรองดองสมานฉันท์ให้ประเทศ
วันที่ 22 ส.ค. 2566 นายวันชัย สอนศิริ สว. อภิปรายว่าตนประกาศแสดงเจตจำนงตั้งแต่ก่อนเลือกตั้ง จนถึงหลังการเลือกตั้ง ว่าใครรวมเสียงข้างมากได้ สว.วันชัย จะโหวตให้นายกฯ จากพรรคการเมืองเหล่านั้น สิ่งที่ตนประกาศเจตจำนงทั้งก่อน และหลังการเลือกตั้ง ว่าจะสนับสนุนพรรคการเมืองเสียงข้างมาก เนื่องจากเป็นไปตามหลักประชาธิปไตย บ้านเมืองเรากำลังเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตย และจะต้องเป็นประชาธิปไตยเต็มใบต่อไป ตนจึงสนับสนุนให้เสียงส่วนใหญ่อันเป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย และเมื่อรวมเสียงข้างมากได้ ก็ถือเป็นความต้องการของคนไทยทั้งประเทศที่ใช้สิทธิเลือกตั้ง และประการสำคัญคือเป็นการลดความขัดแย้งในบ้านเมือง การตัดสินที่จะให้ใครเป็นนายกฯนั้น ขึ้นอยู่กับสมาชิกรัฐสภา 750 คน ไม่ใช่ใครคนใดคนหนึ่งกล่าวอ้างว่าคนนี้ไม่ดี คนนั้นไม่ถูกต้องหรือไม่มีคุณสมบัติ คน 750 คน จำเป็นต้องเชื่อคนคนนั้นที่ไม่ใช่สมาชิกรัฐสภาอย่างนั้นหรือ ดังนั้น เสียงของ 750 คน จะเป็นเสียงชี้ขาดว่าใครจะเป็นนายกฯ ไม่ใช่ใครคนใดคนหนึ่งกล่าวอ้าง แล้วเราก็ตัดสิทธิ์คนนั้น นี่คือแนวทางที่ตนยึดถือปฏิบัติ
นายวันชัย กล่าวด้วยว่า รัฐบาลที่จัดตั้งครั้งนี้รวมเสียงได้ 314 เสียง จาก 11 พรรคการเมือง ตนเห็นว่าเป็นรัฐบาลที่ก้าวข้ามความขัดแย้งจริงๆ เป็นรัฐบาลที่สลายขั้ว สลายสี สลายความเห็นต่าง จะนำมาซึ่งความปรองดองสมานฉันท์ที่เป็นรูปธรรมจริงๆ หากดูในรัฐธรรมนูญมาตรา 257 ว่าด้วยการปฏิรูปประเทศ ระบุว่า การปฏิรูปประเทศคือการสร้างความสงบเรียบร้อย สามัคคีปรองดอง รวมถึงมาตรา 258 (5) ระบุว่า การปฏิรูปต้องมีกลไกแก้ไขความขัดแย้งทางการเมืองโดยสันติวิธีภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เรื่องความขัดแย้งเป็นปัญหาในประเทศมา 20 ปี สร้างความเสียหายย่อยยับให้ประเทศมานาน ก่อให้เกิดความขัดแย้งแตกแยกแม้แต่ในครอบครัว ก่อให้เกิดความเสียหายแบบประเมินค่าไม่ได้ มีการเผา มีการฆ่ากัน แม้แต่สื่อก็แบ่งฝ่าย บางครั้งถึงขนาดต้องปฏิวัติรัฐประหารกัน ทุกคนเรียกร้องว่าเราต้องปรองดองสมานฉันท์ การปฏิรูปมีหัวข้อใหญ่ คือ การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ พอเห็นรัฐบาล 314 เสียง 11 พรรคการเมือง เป็นเรื่องลงตัวเหมาะเจาะ สลายสี สลายพรรค สลายบุคคล มีทั้งเหลืองทั้งแดงอยู่ในนั้น มีทั้ง กปปส. นปช. พรรคการเมืองที่เป็นผู้นำเป็นทหารก็มี มาร่วมกันเป็นรัฐบาลในการบริหารประเทศ เป็นการปรองดองสมานฉันท์ที่เป็นรูปธรรมที่แท้จริง ทั้งหมดยิ่งกว่าแผนปฏิรูปใดๆ ทั้งสิ้น ตนอยากให้การโหวตนายกฯวันนี้เป็นการนับหนึ่งของการปรองดองสมานฉันท์ ตนสนับสนุนให้ประเทศเดินหน้า และให้มีรัฐบาลโดยเร็ว ส่วนจะดีหรือไม่ดี ตนว่าผลงานจะเป็นเครื่องพิสูจน์พรรคการเมืองจาก 11 พรรคที่เป็นรัฐบาล
นายวันชัย กล่าวว่า เมื่อได้รัฐบาลจาก 11 พรรค แบบสลายขั้ว สลายสี สิ่งที่จะมีในสภา เราจะมีพรรคฝ่ายค้านจากพรรคก้าวไกล ซึ่งจะเป็นพรรคฝ่ายตรวจสอบที่เข้มแข็ง ที่สำคัญตัวนายกฯ ที่มีปัญหาถูกกล่าวหาเรื่องต่างๆ โดยหลักการที่ตนเป็นนักกฎหมาย ใช้หลักว่าตราบใดก็ตามถ้ายังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุด หรือยังไม่มีหน่วยงานใดวินิจฉัยข้อกล่าวหา บุคคลนั้น ต้องถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ ดังนั้น ใครจะถูกกล่าวหาอย่างไร ตนคิดว่ายังมีหน่วยงาน องค์กรอิสระต่างๆ ที่จะตรวจสอบต่อไป และเมื่อเป็นรัฐบาลแล้วการอภิปรายไม่ไว้วางใจจะเป็นการตรวจสอบคนที่เป็นนายกฯต่อไป ด้วยเหตุนี้ตนจึงสนับสนุนพรรคการเมืองที่รวมเสียงข้างมาก แล้วเสนอบุคคลที่เป็นนายกฯในวันนี้ ตนสนับสนุนเต็มที่ในหลักการดังที่กล่าวมา หวังว่าสิ่งนี้จะทำให้บ้านเมืองเดินได้ต่อไป เป็นไปตามความหวัง ความต้องการประชาชน และแค่ได้พูดถึงความรัก ความสามัคคีที่จะเกิดขึ้นก็ชื่นใจแล้ว หวังว่าจะเกิดขึ้นจากรัฐบาลนี้